สถาบันวัคซีนฯ ออกแถลงการณ์ อย่าปล่อยให้ติดเชื้อโอมิครอน เพราะไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเท่านั้น จึงจะเกิดภูมิ

16 เม.ย.65-สถาบันวัคซีนแห่งชาติออกแถลงการณ์เรื่อง ความจำเป็นของการได้รับวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้น ความว่า ตามที่มีการผยแพร่ข้อมูผ่านสื่อออนไลน์ที่มีการระบุว่า ไม่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิต 19 เข็มกระตุ้น การปล่อยให้ติดเชื้อไรรัสสายพันธุ์ Omicron มีความปลอดภัย และเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาตินั้น สถาบันมีความห่งใยต่อประชาชนที่ได้รีบการส่งต่อข้อมูลที่มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนตังกล่าวอย่างมาก

ในการนี้ สถาบันขอยืนยันรำ การลีตวัดซีนเข็มกระตุ้นในสถานการณ์ที่ไวรัสมีการกลายฟันธุ์อย่างรวดเร็วนั้น มีความจำเป็นอย่างมากโตยการฉีวัคชีนข็มกระตุ้นช่วยสดอาการป่วยที่รุนเรง สตโอกาสการเสียชีวิต และลตโอกาสการเกิดภาว: Long COVDในผู้ใหญ่ รวมถึงภาวะอักเสบทั่วร่างกายในเต็ก (Mutisystem Infiammatory Syncrome in Children; Mis-C) จากการป่วยด้วยโควิต 19 ได้จริง หลักฐานเชิงประจักษ์ขี้ว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นสามารถลดอาการเหล่านี้ลงได้มากกว่าผู้ปวยที่ไม่เคยฉีดวัคซึนเลย หรือ ฉีดวัศซีนแล้วแต่ไม่ใด้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ การณีฉีดวัคขืนโควิด 19 เข็มกระตุ้น มีการดำเนินการอย่างกว้างขวาง ทำให้มีรายงานยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิผล (Vaccine effectiveness) ของการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจำนวนมากจากหลายประเทศทั่วโลก โดยในประเทศไทยได้มีการเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนที่ใช้ในประเทศด้วยเช่นกัน ผลการศึกษาในปัจจุบัน (ข้อมูลการประเมินประสิทธิผลวัคซีนจากการใช้จริง จ. เชียงใหม่ ช่วงเดือน มค.-มี.๓.2565 ณ วันที่ 8 เมษายน 2565) ระบุว่า

“ในสถานการณ์การระบาดชอง Omicron การฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ไม่ป้องกันการติดเชื้อ แต่สามารถป้องกันการเสียชีวิตได้มากกว่า85 % และหากได้รีบการวัคซีนเข็มที่ 3 ในระยะวลาที่หมาะสม สามารถป้องกันการคิดเชื้อได้ 34-68 % และเพิ่มการป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 98-99% และเมื่อมีการมีวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 4 เมื่อตรบกำหนดกามข้ารับวัคซีนพบว่า สามารถป้องกันการติดเชื้อได้สูงถึง 80-82% โตยยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิด 19 ในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคอื่นเข็มที่ 4”
จากผลการประเมินประสิทธิผลวัคซีนจากการใช้จริงในระดับโลก ทำให้องค์การอนามัยโลกได้ออกประกาศสนับสนุนให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้น เพื่อลคอัตราการป่วยหนัก และสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ Omicron ด้วยเช่นกัน

สถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน พบว่า ความครอบคลุมการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นโตยรวมยังค่อนข้างน้อย โตยมีความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนข็มกระตุ้นเพียง 35% เท่านั้น (ข้อมูลระดับประเทศ ณ วันที่ 8 เมษายน) และจากการเก็บข้อมูลของผู้ที่มีอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโควิด 19 พบว่า ยังคงเป็นประชากรในกลุ่ม 608 ซึ่งได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 โรค คือ โรคทางเตินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวานและกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 สัปตาห์ขึ้นไป ในอัตราส่วนที่สูงกว่าประขากรกลุ่มอื่น โตยพบด้วยว่า ประซากรในกลุ่ม 608 ยังมีการเข้ารับวัคชีนเข็มกระตุ้นค่อนข้างต่ำดังนั้น สถาบันจึงขอเชิญชวนประชาชนทั่วไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคร่วม 7 กลุ่มโรคและหญิงตั้งครรภ์ ที่ยังไม่เตยฉีตวัคซีนโควิต 19 มาก่อน ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มแรก และเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ตามกำหนดนัดหมาย หากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 มาแล้วนานกว่า 3 เดือนให้รีบเข้ารับการฉีดวัคซีนเซ็มที่ 3 และหากได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 มาแล้ว เป็นเวลา 4 เตือนขึ้นไป ให้รีบเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 4 นอกจากนี้ การสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ ยังคงเป็นมาตรการสำคัญ ที่เมื่อปฏิบัติควบคู่กับการฉีดวัคชีนจะช่วยควบคุมการระบาดของโรค ลดโอกาสการกลายพันธุ์ของไว้รัส และลดความเสี่ยงของการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโควิด 19 ได้อย่างมีประสิทธิผล สถาบันจึงขอให้ประชาชนยังคงปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของตนเเองและบุคคลที่ท่านรัก


ด้วยความปรารถนาดีจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ


14 เมษายน 2565

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศูนย์จีโนมฯ จับตาโอมิครอน KP.2.3/XEC ลูกผสมพันธุ์ใหม่ แพร่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า โอมิครอน KP.2.3/XEC : ลูกผสมสายพันธุ์ใหม่แพร่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า

'หมอธีระวัฒน์' ย้ำเตือน อย่าลืมคนตาย พิการมากมายจากวัคซีนโควิด ลั่นต้องถูกเยียวยา

ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริง 'ลิ่มเลือดสีขาว' ไม่เกี่ยวฉีดวัคซีนโควิด

สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริง เรื่อง ลิ่มเลือดสีขาว (White clot) และวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA จากกรณีที่มีการเผยแพร่และส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับการพบสิ่งแปลกปลอมซึ่งมีลักษณะเป็นลิ่มเลือดสีขาว (White clot) ในหลอดเลือดผู้เสียชีวิตที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19