3 ข่าวใหญ่...ต้องทำใจร่มๆ

ในช่วงเวลานี้ น่าจะมีคนจำนวนหนึ่งที่ติดตามข่าวใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศแล้วเครียด อาจจะเป็นเพราะเมื่อติดตามข่าวแล้ว เก็บเอาเนื้อหาบางส่วนมาเป็นประเด็นมากจนเกินพอดี

จึงทำให้รู้สึกเครียด บางคนก็อ่านแต่พาดหัวที่สื่อทั้ง offline และ online ที่ใช้ถ้อยคำที่รุนแรง ไม่ติดตามรายละเอียดที่ทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างพาดหัวข่าว

บางคนก็ไม่เรียนรู้ที่จะอ่านระหว่างบรรทัดที่จะทำให้เข้าใจอะไรดีขึ้น แล้วไม่เครียด บางคนก็เลือกที่จะเสพข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี และสื่อมวลชนบางรายก็รู้ว่ามีคนเสพสื่อเช่นนี้อยู่จึงตอบสนองด้วยการนำเสนอข่าวเชิงลบมากกว่าข่าวเชิงบวก

ในขณะเดียวกันสถานการณ์บ้านเราเวลานี้ก็มีกลุ่มนักการเมืองและสื่อมวลชนฝ่ายค้านที่ต้องการด้อยค่ารัฐบาล ก็จะนำเสนอข่าวร้าย (จริงบ้าง เท็จบ้าง) เพื่อทำให้ประชาชนเกลียดชังรัฐบาล และจะได้มีแนวร่วมในการขับไล่รัฐบาล ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือเรื่องร้ายๆ ก็ปรากฏเต็มพื้นที่ข่าวสารทั้ง offline และ online พวกที่ต้องการด้อยค่ารัฐบาลก็จะขยันให้สัมภาษณ์ ขยันเขียนข้อความลงบนพื้นที่ social media และก็จะมีสื่อมวลชนที่เป็นแนวร่วมของพวกเขานำข้อความที่เป็นวาทกรรมด้อยค่ารัฐบาลมาขยี้ต่อให้คนที่ติดตามข่าวเกลียดชังรัฐบาล และทำให้คนบางคนเครียด

ข่าวแรกที่ทำให้ประชาชนเครียด คือ ข่าวเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่จำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับที่สูงกว่า 20,000 จนถึง 25,000 มาหลายวันแล้ว ถ้าใครมองแต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อและจำนวนคนเสียชีวิตรายวันก็อาจจะเครียดได้ แต่ถ้าหากเรียนรู้ที่จะดูรายละเอียด ติดตามข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์โควิดให้มากกว่าการรายการตัวเลขผู้ติดเชื้อและจำนวนผู้เสียชีวิตก็อาจจะพอเข้าใจได้บ้าง จำนวนคนติดเชื้อมีมากก็เพราะมีการติดเป็น Clusters ในหลายๆ ที่ คนที่ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นคนไข้ระดับสีเขียวที่มีอาการไม่รุนแรง สามารถรักษาตัวได้ที่บ้าน โดยได้รับการจ่ายยาตามอาการภายใต้โครงการ “เจอ แจก จบ” คือเมื่อตรวจเจอก็จะแจกยาให้ตามระดับของอาการ มีทั้งฟาวิพิราเวียร์ ฟ้าทะลายโจร และยาตามอาการเหมือนคนเป็นไข้หวัด ส่วนคนที่เสียชีวิตนั้นส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว และไม่ได้ฉีดวัคซีน และควรรับรู้ด้วยว่าขณะนี้คนไทยได้รับการฉีดวัคซีน 3 และ 4 เข็มเป็นจำนวนมากแล้ว ดังนั้นหากติดเชื้อก็จะไม่มีอาการรุนแรง สามารถรักษาตัวที่บ้านได้

นอกจากการติดตามตัวเลขของจำนวนผู้ติดเชื้อและจำนวนคนตายแล้ว ต้องติดตามการให้ข่าวของคณะแพทย์ใน ศบค. และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขด้วย สิ่งที่ควรรู้ก็คือ เราอาจจะต้องเผชิญกับตัวเลขการติดเชื้อขาขึ้นอีกประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้นก็จะลดลง จึงทำให้เราสามารถมีโครงการ “เจอ แจก จบ” ได้ และมีแผนที่จะประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) แทนที่จะให้เป็นโรคระบาดทั่วโลก (Pandemic) อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และที่แน่ๆ ก็คือ จะไม่มีการกลับไป Lock down อีกแล้ว เราจะเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยที่รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างน้อย 4 เข็มให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันประชาชนก็ต้องให้ความร่วมมือในการจะปฏิบัติตนตามมาตรการที่ ศบค.กำหนด เรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิดโดยไม่ประมาท การ์ดไม่ตก เป็น Smart control and living with COVID ถ้าหากติดตามข่าวให้ละเอียด แทนที่จะดูแค่ตัวเลขคนติดคนตายก็พอจะเบาใจได้ และที่สำคัญก็คือต้องติดตามข่าวที่นำเสนอโดยฝ่ายค้านและสื่อที่เป็นแนวร่วมกับฝ่ายค้านด้วยการรู้เท่าทัน โดยต้องเข้าใจเจตนาว่าพวกเขานำเสนอเรื่องราวของโควิด-19 ให้รุนแรงเพื่ออะไร ควรต้องใช้ตรรกะธรรมชาติของเราที่มีอยู่พิจารณาข้อความที่พวกเขาพูด เปรียบเทียบกับความจริงเชิงประจักษ์ที่เกิดขึ้น และข่าวสารที่มาจากแหล่งอื่นด้วย

ข่าวที่สองที่อาจจะทำให้คนบางคนเครียดก็คือข่าวเรื่องความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ก่อให้เกิดการใช้กำลัง มีความพยายามของกลุ่มประเทศบางประเทศที่กดดันรัสเซียด้วยการหยุดทำมาค้าขายกับรัสเซีย ในขณะเดียวกันก็มีการกดดันให้ประเทศไทยแสดงท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับรัสเซีย แต่ประเทศไทยเรามีวิเทโศบายที่ดีงาม เราวางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เราไม่ประณามฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เราแสดงจุดยืนเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนของทุกประเทศ ทุกแคว้น ทุกอาณาเขต เราเคารพกฎกติกาสากล เราสนับสนุนการยุติปัญหาด้วยการเจรจาแบบสันติวิธี และในขณะเดียวกันเราก็พร้อมที่จะช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมสำหรับทุกฝ่ายที่ได้รับความเดือดร้อน ทั้งหมดนี้เป็นวิเทโศบายของไทยที่งดงาม แต่กลับมีคนมาเรียกร้องให้ประเทศไทยเลือกข้าง ด้วยการประณามรัสเซีย อยากถามว่า เราจะสร้างศัตรูไปทำไม เรารักษามิตรภาพไว้ไม่ดีกว่าหรือ

สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลทำได้อย่างงดงามในกรณีของข่าวนี้คือ การแสดงจุดยืนแห่งสันติภาพในการประชุมของสหประชาชาติ และให้ความสำคัญกับการนำคนไทยในยูเครนที่ต้องการกลับประเทศไทย ให้สามารถออกมาให้พ้นจุดที่เป็นอันตรายในยูเครน โดยเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บัดนี้คนไทยในยูเครนส่วนใหญ่กลับสู่มาตุภูมิอย่างปลอดภัยเป็นจำนวนมากแล้ว ที่ยังเหลือตกค้างอยู่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยที่สมัครใจจะอยู่ในยูเครนต่อไป ทั้งนี้เพราะมีครอบครัวอยู่ที่นั่น

อีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องทำความเข้าใจก็คือ ราคาน้ำมันในประเทศอาจจะสูงขึ้น เพราะปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนทำให้ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกสูงขึ้น ประเทศไทยเรานำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ดังนั้น เราคงต้องเผชิญกับราคาน้ำมันที่จะต้องสูงขึ้นแน่ๆ เรื่องนี้เราต้องทำความเข้าใจว่าเหตุการณ์เรื่องราคาน้ำมันขึ้นนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ก็คือหาทางที่จะรับมือกับเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างไร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน และถ้าหากเราติดตามข่าวสารบ้านเมือง เราก็จะเห็นว่านายกรัฐมนตรีได้เรียกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันเข้าปรึกษาหารือกันแล้ว

ข่าวที่สามที่ทำให้คนเครียดก็คือข่าวการเสียชีวิตของคุณแตงโม ดาราสาวที่ตกเรือ เวลานี้ความกระจ่างยังไม่มี แต่มีคนวิเคราะห์ แสดงความคิดเห็น ให้ข้อมูล และมีการคาดเดากันไปต่างๆ นานา หลายคนต้องการให้ความจริงปรากฏ หลายคนต้องการให้แตงโมได้รับความยุติธรรม หากมีคนทำผิด มีส่วนทำให้แตงโมเสียชีวิต จะต้องได้รับโทษ แต่เมื่อความจริงยังไม่ปรากฏ และข่าวสารที่ออกมานั้นสร้างความสับสนให้แก่ประชาชนที่อยากรู้ความจริง ทำให้หลายคนเกิดความเครียด เรื่องนี้ใจเย็นๆ รอการทำคดีของตำรวจดีกว่านะคะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประชาชนได้ประโยชน์อันใด

การอภิปรายไม่ไว้วางใจจบลงไปแล้ว การลงคะแนนไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจก็จบไปแล้ว หลายท่านบอกว่าผิดหวังกับการอภิปรายครั้งนี้

'กองทัพ' ในสมการบรรเทาสาธารณภัย

เสร็จสิ้นเรียบร้อยการแต่งตั้ง "นายพล" วาระเดือนเมษายน หรือ "นายพลแก้มลิง" ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยศ พล.ต.อ., ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ

คาดผลตรีเทพย้ายราศีต่อคนลัคนาสถิตกันย์

เดือนพฤษภาคมปี 2568 นี้ ดาวสำคัญทางโหรที่เรียกกันว่า ตรีเทพ อันได้แก่ พระราหูจร (8) เจ้าของความลุ่มหลงมัวเมา-ความมืด-อวิชชาหรือตัวแสบ-พระพฤหัสบดีจร (5) เจ้าแห่งปัญญาพิสุทธิ์หรือหัวหน้าดาวดีเทวดาประจำตัว

โปรดดูโพลก่อนด่า...ประชาพอใจ

ตลอดระยะเวลาที่แพทองธารดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเวลาประมาณครึ่งปี เธออาจจะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ จนถึงระดับถูกด่าทอต่อว่ามากที่สุดของประเทศไทย