วิกฤตยูเครนส่งผลถึงไทย

สถานการณ์ความตึงเครียดจากการที่รัสเซียใช้กำลังทหารกรีธาทัพเข้าไปในประเทศยูเครน ซึ่งขณะนี้เวลาก็ผ่านมากว่า 5 วันแล้ว ดูเหมือนสถานการณ์การสู้รบยังคงดุเดือดและยังไม่มีท่าทีที่จะสงบลงง่ายๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีคือ แรงกระเพื่อมต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดเงิน ตลาดทุน ที่ดิ่งพร้อมกันทั่วโลก รวมไปถึงเงินสกุลดิจิทัลที่พร้อมใจกันดิ่งลงเหว ขณะเดียวกันสิ่งที่กระทบทันทีคือราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น

 แน่นอนการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันกลายเป็นปัญหาโดยตรงที่ได้รับผลกระทบจากการทำสงครามของทั้งสองประเทศ และอย่างที่ทราบ น้ำมันเป็นต้นทางของการผลิต ซึ่งเมื่อราคาขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและค่าครองชีพ

ล่าสุด มีการประเมินว่าหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่นอกจากจะพุ่งสูงขึ้นแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยด้วย เนื่องจากในขณะนี้ก็มีความชัดเจนว่านานาชาติต่างก็เริ่มที่จะใช้กระบวนการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน

โดยทางธนาคารกสิกรไทยได้ออกมาแจ้งเตือนภาคธุรกิจให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ (Economic Sanctions) จากประเทศต่างๆ ที่จะนำมาใช้กับรัสเซีย ซึ่งจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจและตลาดเงินของรัสเซีย และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานในยุโรป รวมถึงสถาบันการเงินและภาคธุรกิจของยุโรปที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจในรัสเซีย ซึ่งอาจทำให้การค้าระหว่างไทย-รัสเซีย-ยูเครนมีอุปสรรคในการทำธุรกรรมทางการเงิน ทั้งการหาธนาคารรับรอง การเปิดบัญชีธุรกิจข้ามชาติ (แอล/ซี) การชำระเงิน การโอนเงินต่างๆ เป็นต้น

และหากสถานการณ์พลิกผันไปสู่สงครามที่ขยายวงกว้าง เศรษฐกิจโลกอาจจะเข้าสู่ภาวะหดตัว และเกิดภาวะเงินเฟ้อในระดับสูงจากราคาพลังงานที่พุ่ง (Stagflation) แต่เชื่อว่าหลายฝ่ายมีความพยายามที่จะเจรจาให้มีข้อยุติโดยเร็ว โดยธนาคารกสิกรไทยจะเฝ้าระวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจของลูกค้า และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์พบว่า ไทยส่งออกไปรัสเซียมีมูลค่าประมาณ 1,028 ล้านดอลลาร์ฯ เติบโตสูงถึง 42% โดยการส่งออกไปรัสเซียคิดเป็นสัดส่วนราว 0.4% ของมูลค่าการส่งออกไทยไปตลาดโลก ขณะที่สินค้าส่งออกหลักของไทยไปตลาดรัสเซียได้แก่ รถยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกล ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เม็ดพลาสติก เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ซึ่งสินค้าเหล่านี้หลายรายการเป็นการส่งออกภายใต้สิทธิ์ GSP ที่ไทยได้รับจากกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช หรือ CIS (Commonwealth of Independent States มีสมาชิก 12 ประเทศ รวมรัสเซีย)

ส่วนยูเครนนั้น ในปี 2564 ไทยส่งออกไปเป็นมูลค่าประมาณ 135 ล้านดอลลาร์ฯ เติบโตสูง 35.7% เช่นกัน แต่สัดส่วนยังน้อยอยู่มาก โดยสินค้าส่งออกหลักได้แก่ รถยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เม็ดพลาสติก เป็นต้น

จากสถานการณ์แบบนี้ การส่งออกย่อมได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวเองก็จะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมเช่นกัน โดยนักท่องเที่ยวรัสเซียก็ถือเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยติดอันดับ TOP5 ซึ่งหลังเกิดเหตุการณ์ที่สายการบินไม่สามารถบินผ่านน่านฟ้าได้ ก็จะส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวอย่างไม่ต้องสงสัย ยังไม่นับรวมถึงนักท่องเที่ยวจากยุโรปที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการปิดน่านฟ้าที่ทำให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางบิน และทำให้ต้องใช้ระยะทางที่ไกลขึ้นไปกระทบกับค่าตั๋ว เป็นต้น

 นี่คือ วิกฤตซ้อนวิกฤตที่เข้ามาในช่วงไทยกำลังเจอการระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างหนัก ซึ่งแม้ในขณะนี้จะไม่มีมาตรการล็อกดาวน์หรือปิดประเทศ แต่การฟื้นฟูเศรษฐกิจก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้แบบปกติอยู่แล้ว ยิ่งมาจาก 2 เรื่องหนักๆ ทั้งภายใน ภายนอกแบบนี้ รัฐบาล และทีมเศรษฐกิจก็ควรจะต้องวางแผนรับมือให้ดี ไม่ควรปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรม.

ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เร่งเครื่องดึงนักท่องเที่ยว

จากสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยในปัจจุบัน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ให้ข้อมูลพบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมในช่วงเกือบ 7 เดือนเต็ม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-28 ก.ค.2567 ทั้งสิ้น 20,335,107 คน

ต้องเร่งแก้ปัญหาปากท้อง

หลังจากนายกรัฐมนตรีหญิง แพรทองธาร ชินวัตร รับตำแหน่งอย่างชัดเจน ทำให้ภาคเอกชนต่างก็ดีใจ เพราะไม่ทำให้ประเทศเป็นสุญญากาศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสิ่งแรกที่ภาคเอกชนอย่าง

แนะเจาะใจผู้บริโภคด้วย‘ความยั่งยืน’

คงต้องยอมรับว่าประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนได้รับความสนใจมากขึ้นทั้งจากผู้บริโภค ภาคเอกชน และภาครัฐ ส่งผลให้ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับตัว

รัฐบาลงัดทุกทางพยุงตลาดหุ้น

หลังจากปล่อยให้ตลาดหุ้นซึมมาอย่างช้านาน จนปัจจุบันอยู่ต่ำกว่า 1,300 จุด เรียกได้ว่าสำหรับนักลงทุนถือเป็นความเจ็บปวด เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ไปไหน

ดันอุตฯไทยไปอวกาศ

แน่นอนว่าในยุคที่โลกต้องก้าวหน้าไปสู่อุตสาหกรรมที่ทันสมัยมากขึ้น และต่อไปไม่ได้มองแค่ในประเทศหรือในโลกแล้ว แต่มองไปถึงนอกโลกเลยด้วยซ้ำ เพราะจะเป็นหนึ่งในกลไกในการพัฒนาอุตสาหกรรมภาคพื้นที่มีความแข็งแกร่งส่งผ่านไปยังอุตสาหกรรมอวกาศได้

แบงก์มอง ASEAN ยังมาเหนือ

ยังคงมีอีกหลายประเด็นที่ต้องจับตามองกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งในสถานการณ์โลกและภายในประเทศ ที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและการค้า โดยมุมมองของ อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ระบุว่า