ยูเครนเหยื่อการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ

ในสมัยสงครามเย็นยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต เมื่อสิ้นสุดระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ในปี 1991 หลายประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตแยกตัวออกเป็นรัฐอธิปไตย ยูเครนเป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น ประเทศเหล่านี้รวมทั้งรัสเซียต่างรับการปกครองแบบประชาธิปไตย

ยูเครนเหมือนประเทศประชาธิปไตยเกิดใหม่หลายแห่ง การเมืองอ่อนแอ ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจทางการเมือง อำนาจปกครองกระจุกตัวอยู่ในคนส่วนน้อยไม่กี่กลุ่ม คนเหล่านี้ไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ของประชาชน คนยูเครนเบื่อหน่ายนักการเมือง

จุดเริ่มความสูญเสียของยูเครน:

วิกฤตยูเครนที่กำลังพูดถึงในขณะนี้สามารถย้อนรอยการเมืองในรัฐสภาเมื่อพฤศจิกายน 2013 วิกเตอร์ ยานูโควิช (Viktor Yanukovych)

ภาพ: แผนที่ประเทศยูเครน

ประธานาธิบดียูเครนสมัยนั้นปฏิเสธที่จะลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างยูเครนกับสหภาพยุโรปที่ชื่อว่า “Ukraine-EU association agreement” ข้อตกลงนี้ยูเครนจะเปิดสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกับสหภาพยุโรป นำสู่การเป็นสมาชิกอียู นาโต ในอนาคต

เป็นเหตุผลว่าทำไมประธานาธิบดียานูโควิชที่อิงรัสเซียปฏิเสธลงนาม

ผลที่ตามมาคือเกิดการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและเกิดความรุนแรง มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ประธานาธิบดียานูโควิชหนีออกจากประเทศ ฝ่ายค้านเข้าควบคุมรัฐสภาจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล

25 พฤษภาคมมีการเลือกตั้งใหม่ เปโตร โปโรเชนโก (Petro Poroshenko) นักธุรกิจพันล้านชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ดำเนินนโยบายอิงชาติตะวันตก ประกาศขอเป็นสมาชิกอียูทันที นับจากนั้นเป็นต้นมายูเครนได้รัฐบาลที่อิงชาติตะวันตกเสมอมา มีนโยบายขอเป็นสมาชิกอียูหรือนาโต

ปี 2014 ในช่วงที่กำลังสับสนวุ่นวาย รัสเซียส่งกองกำลังเข้ายึดครองไครเมีย (ไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของยูเครน เป็นเขตปกครองตนเอง มีนายกรัฐมนตรีของตนเอง) ในเวลาต่อมารัสเซียผนวกไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของตน ด้วยหลายเหตุผล เช่น เดิมพื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ประวัติศาสตร์ยูเครนต้องบันทึกว่าได้สูญเสียดินแดนส่วนหนึ่งไปแล้ว

การสลับขั้วสู่รัฐบาลที่นิยมตะวันตกเกิดขึ้นพร้อมกับสงครามกลางเมืองจากการแบ่งแยกทางการเมืองภายในประเทศ ยูเครนแยกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายที่อยู่ทางภาคตะวันตกกับภาคตะวันออก (ขอเรียกว่ายูเครนตะวันตกกับยูเครนตะวันออก)

ฝ่ายที่อยู่ทางตะวันออกเริ่มก่อการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2014 เข้าควบคุมเขตโดเนตสค์ (Donetsk) กับลูกันสก์ (Lugansk) ต้องการแยกตัวออกจากประเทศ ขอให้รัฐบาลรัสเซียช่วยรับรอง และอาจหมายถึงต้องการรวมกับประเทศรัสเซียเหมือนไครเมีย ไม่ว่าเรื่องนี้เป็นความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่หรือเป็นความต้องการของใครบางคน ปฏิบัติการฝั่งตะวันออกแยกตัวออกจากประเทศเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2014 แล้ว

ในสมัยที่ยังเป็นสหภาพโซเวียต ยูเครนเป็นรัฐที่เจริญและอุดมสมบูรณ์ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตขนมปังของโซเวียต เป็นแหล่งอุตสาหกรรมหนัก (ไทยเคยซื้อใช้รถถัง Oplot-T ที่ผลิตโดยยูเครน) แต่ความรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ค่อยๆ หายไปหลังยูเครนประกาศเป็นอิสระเมื่อสิ้นสหภาพโซเวียต ต้องขอความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจาก IMF การเมืองที่เต็มด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกลายเป็นยูเครนตะวันตกกับตะวันออก ยูเครนไม่ใช่ความเจริญ ไม่ใช่อู่ข้าวอู่น้ำอีกต่อไปและน่าจะมืดมนไปอีกนาน

ล่าสุดรัสเซียเปิดฉากทำสงครามเต็มรูปแบบรุกเข้าไปในยูเครนสู่เมืองหลวงกรุงเคียฟ ทหารยูเครนต้องรบกับกองทัพรัสเซียตามลำพัง ความ​จริง​ทุก​อย่าง​ชัดเจน​ตั้งแต่​ต้น ​คือ​นาโต​จะ​ไม่​ช่วย​รบ ยูเครน​ต้อง​สู้​เอง​ซึ่ง​แพ้​แน่นอน​ รัสเซีย​จะช่วย​ให้​ 2 ประเทศ​รัฐกันชนที่เกิดขึ้นใหม่​มี​พื้นที่​มาก​พอ ส่วนยูเครนที่เหลือจะเป็นกลางหรืออิงตะวันตกน่าจะกำลังเจรจา หากเจรจาไม่สำเร็จรัสเซียอาจตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลปกครองยูเครน

ถ้าการเจรจาเป็นไปด้วยดี สถานการณ์ยูเครนจะเข้าสู่ภาวะปกติในไม่ช้า ในอีกทางคือการเจรจายืดเยื้อ หรือหากรัสเซียตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลสถานการณ์จะอึมครึมอีกนาน

ไม่ว่าอย่างไรประวัติศาสตร์จะจารึกว่าอาณาเขตยูเครนถูกตัดออกไปอีก

สิ่งที่รัสเซียได้บนความสูญเสียของยูเครน:

ในประวัติศาสตร์รัสเซียเคยถูกรุกรานเข้าลึกถึงใจกลางประเทศหลายครั้ง แต่ละรอบตายนับสิบล้านคน บ้านเมืองถูกทำลายย่อยยับ เป็นประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้และจดจำ เกิดยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศด้วยการสร้างแนวรัฐกันชน (buffer state) และยึดหลักการนี้เรื่อยมา เป็นที่มาของเส้นต้องห้าม (red line) ที่รัสเซียย้ำแล้วย้ำอีกห้ามยูเครนเป็นสมาชิกนาโต

ตอนนี้ยูเครนตะวันออกประกาศตัวเองเป็นสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ "Donetsk People's Republic" (DPR) กับสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสค์ "Luhansk People's Republic" (LPR) คือรัฐกันชนที่ปรับใหม่ล่าสุด แลกกับการที่ถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตร อยู่ในบรรยากาศไม่เป็นมิตร คุ้มหรือไม่คุ้มเป็นเรื่องที่วิพากษ์ได้ รัฐบาลปูตินย่อมคำนวณผลดีผลเสียอย่างรอบคอบแล้ว

ทางการรัสเซียประกาศว่าจะปกป้องคุ้มครองประเทศเกิดใหม่ทั้ง 2 ซึ่งอาจตีความว่าประเทศทั้ง 2 ต้องอยู่ใต้การคุ้มครองของรัสเซียไปอีกนาน

ข้อสำคัญที่สุดคือ สงครามยูเครนจะเป็นคำเตือนแก่นานาชาติว่ารัสเซียจะทำอย่างไรหากถูกข่มขู่คุกคาม ข้อนี้อาจมีค่ามากกว่าสิ่งที่ต้องสูญเสียไปทั้งหมด

สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐได้บนความสูญเสียของยูเครน:

ประการแรก ปิดล้อมรัสเซียเข้มข้นกว่าเดิม

รัฐบาลสหรัฐไม่ว่ามาจากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครต ดำเนินนโยบายปิดล้อมเรื่อยมา ตอนนี้รัฐบาลไบเดนมีเหตุผลความชอบธรรมที่จะคว่ำบาตรรัสเซียเข้มข้นกว่าเดิม ส่วนใหญ่คือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ การทูต เป็นไปตามยุทธศาสตร์ปิดล้อม

ประการที่ 2 กระชับอำนาจในยุโรป

นับวันสมาชิกนาโตฝั่งยุโรปตะวันตกต้องการเป็นอิสระจากสหรัฐ เหตุการณ์นี้ช่วยให้รัฐบาลสหรัฐกระชับอำนาจของตน แสดงบทบาทผู้นำนาโต เพิ่มทหารกับเครื่องบินรบเข้ายุโรปหลายประเทศ รวมทั้งเยอรมนี

ประการที่ 3 อาจได้ขายน้ำมันก๊าซธรรมชาติ

ที่แน่นอนคือ เยอรมนีประกาศไม่ใช้ท่อส่งก๊าซ Nord Stream 2 ตามเงื่อนไขที่ทำไว้กับรัฐบาลสหรัฐ เป็นไปได้ว่ายุโรปจะซื้อใช้ก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐเพิ่มเติม เป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้จริง

และอาจวิพากษ์ว่า ความตึงเครียดขณะนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันแพงทั้งโลก ผู้ได้รับประโยชน์เต็มๆ คือบรรดาประเทศผู้ส่งออกพลังงานกับบรรษัทน้ำมันทั้งหลาย ยิ่งตึงเครียดยาวนาน โลกต้องซื้อใช้พลังงานในราคาแพง ทั้งๆ ที่ต้นทุนการผลิตเท่าเดิม ปริมาณการผลิตคงที่ ข้อนี้ส่งผลให้สินค้าบริการต่างๆ แพงขึ้นอีก ซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อปีนี้ให้หนักกว่าเดิม เป็นอีกเรื่องที่ต้องระลึกถึงเสมอ

ประการที่ 4 โหมกระแสสงครามเย็นใหม่

รัฐบาลไบเดนไม่ยอมรับว่าโลกเข้าสู่สงครามเย็นใหม่ แต่ความเป็นปรปักษ์ระหว่างมหาอำนาจสหรัฐกับรัสเซียและจีนเพิ่มขึ้นเด่นชัด สหรัฐกระชับการปิดล้อมแม้ยังไม่สมบูรณ์เหมือนยุคสงครามเย็นในอดีต แต่ความเป็นสงครามเย็นใหม่ชัดเจนขึ้น ข้อนี้เป็นยุทธศาสตร์แม่บท (Grand Strategy) ที่สำคัญ ควรติดตามอย่างมาก

หรืออีกมุมมองคือ มหาอำนาจทั้งหลายกำลังต่อสู้ช่วงชิงจัดระเบียบโลกที่เป็นประโยชน์ต่อตน เรื่องนี้จะส่งผลต่อทั้งโลกเป็นเวลานานหลายทศวรรษ อาจเกิดสงครามตัวแทน (proxy war) ในอีกหลายพื้นที่ เกิดเหตุการณ์ดังเช่นยูเครนขณะนี้ เป็นมุมมองกว้างสุดของสถานการณ์อันเนื่องจากยูเครนในตอนนี้

3 ทศวรรษนับจากยูเครนแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตกลายเป็นรัฐประชาธิปไตย ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนย่ำแย่ลงทุกที นักการเมืองพยายามแบ่งแยกประชาชน เกิดความเป็นขั้วอย่างรุนแรง นำสู่สงครามกลางเมือง กลายเป็นยูเครนตะวันตกกับตะวันออก ทั้งนี้ชาติมหาอำนาจร่วมผสมโรงได้ประโยชน์จากการแตกแยกของคนยูเครน สามารถดึงฝ่ายการเมืองให้อยู่กับตนเป็นรัฐบาลที่อิงตะวันตกหรืออิงรัสเซีย กล่าวได้ว่าชาติมหาอำนาจมั่นคงมั่งคั่งขึ้นบนความสูญเสียของยูเครน และอาจเป็นเช่นนี้อีกนาน เรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นกับหลายประเทศ เป็นอุทาหรณ์แก่ประเทศอื่นๆ ที่เหลือ.

---------------

ชาญชัย คุ้มปัญญา 083-072 5036

http://www.chanchaivision.com/

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

2024สงครามกลางเมืองซีเรียระอุอีกครั้ง

สงครามกลางเมืองที่ดำเนินมาเกือบ 14 ปียังไม่จบ สาเหตุหนึ่งเพราะมีรัฐบาลต่างชาติสนับสนุนฝ่ายต่อต้านกับกลุ่มก่อการร้าย HTS เป็นปรากฏการณ์ล่าสุด

ฮิซบุลเลาะห์-อิสราเอลจากเริ่มรบสู่หยุดยิง

ถ้าคิดแบบฝ่ายขวา อิสราเอลที่หวังกวาดล้างฮิซบุลเลาะห์ การสงบศึกตอนนี้ไม่บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ และฮิซบุลเลาะห์กำลังเปลี่ยนจุดยืนหรือ

เส้นทางสายไหมตะวันออกแห่งศตวรรษที่21

BRI จะเป็นแค่การพัฒนาร่วมหรือเป็นยุทธศาสตร์ครองโลกของจีนเป็นที่ถกแถลงเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรนานาชาติเฝ้าติดตาม จริงหรือเท็จกาลเวลาจะให้คำตอบ

ท่าทีความมั่นคงของเนทันยาฮู2024 (2)

เนทันยาฮูย้ำว่า อิสราเอลหวังอยู่ร่วมกับนานาชาติโดยสันติ แต่กระแสโลกต่อต้านอิสราเอลส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมของอิสราเอล นโยบายกับความจริงจึงย้อนแย้ง

เลือกตั้งสหรัฐ2024เลือกสังคมนิยมหรือฟาสซิสต์

ทรัมป์ชี้ว่าแฮร์ริสเป็นพวกสังคมนิยม ส่วนแฮร์ริสชี้ว่าทรัมป์เป็นเผด็จการ สหรัฐกำลังเข้าสู่การเลือกระหว่าง “สังคมนิยม” กับ “ฟาสซิสต์”