ซูเฟียน-เพื่อนร่วมที่พักจากจอร์แดนได้ฟังเรื่องบาร์ชั้นดาดฟ้าของโรงแรม Jetwing Jaffna จากผมเข้าก็แสดงความสนใจเป็นพิเศษ เท่าที่ผมรู้มานี่คือบาร์แห่งเดียวในเมืองจาฟฟ์นา
เราเดินเกือบๆ 1 กิโลเมตรจากป้อมจาฟฟ์นาไปยังโรงแรม Jetwing รีเซ็ปชั่นแจ้งว่าวันนี้ Rooftop Bar ปิดให้บริการเพราะฝนตกลงมาทั้งวันจนโต๊ะเก้าอี้เปียกปอนและอยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งาน แต่ร้านอาหารของโรงแรมบนชั้น 2 เปิดตามปกติ
ขณะนี้มีแขกของโรงแรมรวมถึงลูกค้าจากภายนอกเข้ามากินมื้อค่ำแบบบุฟเฟต์อยู่เพียง 3 โต๊ะ โดยอาหารที่เตรียมไว้นั้นเพียงพอสำหรับคน 100 คน ผมและซูเฟียนไม่ได้มากินมื้อค่ำ แต่ทางพนักงานของร้านก็ยินดีขายเบียร์และของกินเล่นให้กับเรา ผมสั่งเบียร์สด Lion 1 เหยือกใหญ่ที่เรียกว่า Pitcher ขนาด 2 ลิตร และเฟรนช์ฟราย 1 จาน ซูเฟียนเห็นดีเห็นงาม และไม่ได้สั่งอะไรเพิ่มเติม พนักงานต้องขึ้นไปกดเบียร์จากบาร์ชั้นดาดฟ้านำลงมาให้เรา ได้ดื่มแล้วซูเฟียนแสดงท่าทางพออกพอใจเป็นอย่างมาก
ประติมากรรมจำลองเหตุการณ์เมื่อครั้งพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะเสด็จมาต้อนรับพระสังฆมิตตาเถรี
แต่เราก็ดื่มกันแค่นั้น ผมเรียกเก็บเงิน เฟรนช์ฟราย 650 รูปี ส่วนเบียร์ 700 รูปี ถือว่าราคาถูกมากโดยเฉพาะเบียร์ คิดเป็นเงินไทยราวๆ 120 บาทเท่านั้น ในขณะที่เบียร์สดร้านธรรมดาๆ ของบ้านเราแค่ลิตรเดียวก็เฉลี่ย 200 บาทเข้าไปแล้ว ซูเฟียนจะขอจ่าย แต่ผมไวกว่า ชิงจ่ายไป 2,000 รูปี สุดท้ายเขาไม่ยอม ตอนเดินออกจากร้านเขายื่นให้ผม 1 พันรูปี ผมจึงคืนเงินทอนที่เหลือจากทิปให้เขา 400 รูปี
เราแวะซื้อเบียร์กันอีกคนละกระป๋องยาว ราคากระป๋องละ 240 รูปี ถึงโฮสเทลผมรินเบียร์ใส่แก้ว ฮันนาห์-สาวเยอรมันถือกระป๋องเบียร์มาร่วมวง ชัตติ-หนุ่มทมิฬผู้ดูแลเกสต์เฮาส์ก็มาพร้อมกระป๋องเบียร์ ห้องดอร์มบุรุษและดอร์มสตรีอยู่ตรงข้ามกัน มีระเบียงอยู่ทางขวามือ
ฮันนาห์สงสัยว่าทำไมผมต้องเทเบียร์ใส่แก้ว ผมย้อนว่า “คุณเป็นคนเยอรมันน่าจะรู้ดี คนเรากินเบียร์จากแก้วเพราะได้เห็นสี ได้ดมกลิ่น ปากและลิ้นก็สัมผัสได้ดีกว่าการดื่มจากขวดหรือกระป๋อง” เธอว่า “แค่กลืนมันลงไปก็พอแล้วมั้ง” ผมจึงเดาว่าเธอคงยังอายุน้อยอยู่มาก ชนิดที่ว่าไม่มีใครคาดถึงเลยทีเดียว
พระเจดีย์ภายในวัดศรีนากาวิหาร สร้างขึ้นใหม่ภายหลังองค์เก่าถูกทำลายลง
เธอให้ทายอาชีพ ผมตอบว่าเป็นหมอ เธอก็เออออว่าใช่ แต่สุดท้ายยอมรับว่าสร้างเรื่องขึ้นมา แล้วเธอก็ถามอายุของผม ชัตติ และซูเฟียน แต่เธอไม่ยอมบอกของตัวเอง
เบียร์ของเธอหมดลงเพราะเธอดื่มอยู่ก่อนแล้ว ผมเข้าห้องพักไปหยิบซิงเกิลมอลต์มาวาง ชัตติรู้งานขึ้นไปหยิบแก้วจากห้องครัวลงมา 3 ใบ ผมรินให้ฮันนาห์ เธอรับไปจิบ ผมคิดว่าเธอไม่น่าจะชอบ เธอพูดขึ้นว่าไม่ชอบ ผมเดาต่อว่าเธอจะต้องบอกว่าง่วงและขอเข้านอน และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เธอหาวปากกว้าง และขอเข้านอน
พลันที่เธอเข้าห้องไป ชัตติผู้ถ่ายรูปหน้าพาสปอร์ตของแขกทุกคนไว้เป็นหลักฐานการเข้าพัก หยิบมือถือขึ้นมาเลื่อนดูภาพพาสปอร์ตของฮันนาห์ แล้วร้อง “เธอเกิดปี 2002!” นั่นเท่ากับเธอเพิ่งอายุ 19 ปี
ตุ๊กๆ ยี่ห้อ Bajaj จากอินเดียกับสีสันลวดลายจูงใจลูกค้า
ชัตติและซูเฟียนดื่มวิสกี้ของผมสลับกับเบียร์ของพวกเขา ส่วนผมรอให้เบียร์หมดแล้วจึงดื่มวิสกี้ ชัตติซดหายๆ เหมือนเมื่อคืนวาน ขวดนี้ผมเตรียมไว้สำหรับทั้งทริปสำหรับจิบก่อนนอน บัดนี้ชัตติดื่มจนขวดแห้งไปเรียบร้อยแล้ว แต่คิดอีกทีก็ดีไปอย่าง ผมจะได้มีพื้นที่เหลือในกระเป๋าเพิ่มขึ้นมา
เช้าอีกวันทั้งชัตติและซูเฟียนบ่นปวดหัวเพราะอาการแฮงโอเวอร์ ผมบอกพวกเขาว่า “เพราะพวกคุณดื่มวิสกี้และเบียร์สลับไปมา” ผมไม่มีปัญหาเพราะดื่มวิสกี้ทีหลัง “พวกคุณต้องเรียงระดับแอลกอฮอล์จากน้อยไปมาก แต่ไม่แน่ อาจเป็นเพราะพวกคุณสูบพันลำ” ผมไม่สูบเพราะกลัวโควิด พวกเขาใช้ระบบจุดตัวหนึ่งแล้วยื่นวนกันไปมา ฮันนาห์ก็แจมกับพวกเขาด้วย
ฝนตกลงมาระหว่างทาง วัดศรีนากาวิหาร-พิพิธภัณฑ์โบราณคดีเมืองจาฟฟ์นา
ซูเฟียนอาการหนักถึงขั้นไม่ขึ้นไปกินมื้อเช้า ฝากผมซื้อน้ำส้มจากซูเปอร์มาร์เก็ต Cargills ผมซื้อนมรสกาแฟมาเหมือนเคย มีความเป็นกาแฟมากกว่ากาแฟหวานเจี๊ยบจากร้านเบเกอรี่ Rolex’s แบ่งนมรสกาแฟนี้ให้กับฮันนาห์ที่เข้ามาในห้องครัวพอดี และแบ่งกล้วยน้ำว้าให้เธออีก 1 ลูก
อยู่ๆ ฮันนาห์ก็ยอมรับกับผมว่าเพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ยังไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย เธอหยุดเรียน 1 ปี เพราะยังไม่รู้ว่าจะเรียนด้านไหนต่อ เรื่องแบบนี้ค่อนข้างธรรมดาของเด็กเยอรมันที่จะพักช่วงนี้ 1 ปี หรือครึ่งปี เพื่อตามหาตัวเองให้เจอก่อนตัดสินใจไปต่อในระดับอุดมศึกษา ฮันนาห์เริ่มให้ความสนใจทางด้านจิตรกรรมและวารสารสนเทศ ส่วนที่เมื่อคืนกล้าอุปโลกน์ว่าตัวเองเป็นหมอนั้น เพราะครอบครัวของเธอฝั่งแม่เป็นหมอกันทุกคน จึงไม่ยากที่จะสร้างเรื่องขึ้นมา
พิพิธภัณฑ์โบราณคดีเมืองจาฟฟ์นา เพิ่งสังเกตเห็นว่าส่วนยอดของเจดีย์ 2 ยอดวางอยู่ตรงประตูทางเข้า
เธอมาเที่ยวศรีลังกาได้เดือนกว่าแล้ว ก่อนหน้านี้เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศรีลังกาแม้แต่นิดเดียว เธอคิดว่าหน้าตาของชาวศรีลังกาจะออกไปทางจีน เกาหลี และญี่ปุ่นด้วยซ้ำไป เธอมาศรีลังกาเพราะเป็นประเทศแรกๆ ของโลกตะวันออกที่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวและค่าครองชีพไม่แพง แม้ว่าต้องถูกกักตัวในโรงแรม 14 วันเพราะไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 มาก่อน และเธอก็ไม่ต้องการฉีดเพราะกลัวผลข้างเคียงในระยะยาว เธอว่ามันเร็วเกินไปที่จะมั่นใจได้ว่าวัคซีนที่ผลิตออกมามีความปลอดภัย โดยเฉพาะชนิด mRNA
วันนี้เธอเช่ามอเตอร์ไซค์แบบสกูตเตอร์หวังขี่ทัวร์ให้ทั่วจาฟฟ์นาเขตนอกเมือง แต่เป็นการขี่มอเตอร์ไซค์ครั้งแรกในชีวิต ช่วงสายๆ ฝนยังตกลงมาปรอยๆ และหยุดเว้นช่วงตอนที่ผมกำลังจะออกจากที่พัก เจอฮันนาห์กับสกูตเตอร์ของเธอ ปรากฏว่าเธอยังสตาร์ทเครื่องไม่เป็นและแทบไม่รู้วิธีการขี่ แต่ก็ยังกล้าขี่ เห็นกระตุกๆ แล้วก็กระชาก เพราะสกูตเตอร์ไม่มีเกียร์ ไม่มีคลัตช์ บิดทีก็กระชากที จนเกือบชนกำแพงตึก แต่เธอไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือกังวลใดๆ พอออกจากหน้าที่พักได้ สกูตเตอร์ของเธอก็เซไปเซมา แล้วพุ่งขึ้นหน้าไป ผมคิดในใจว่าวันนี้เธอไม่น่าจะรอดจากอุบัติเหตุ จะเบาหรือแรงแค่ไหนเท่านั้นเอง
บ้านหลังหนึ่งในเขตนัลลูร์ เมืองจาฟฟ์นา พระโคบนหัวเสารั้วบ้านคือสัญลักษณ์ของศาสนาฮินดู
ส่วนการเดินทัวร์ของผม เมื่อออกจากที่พักแล้วก็เดินไปบนถนน Stanley Rd. ทางทิศตะวันออก ตรงไปยังวัดศรีนากาวิหาร บนซุ้มประตูทางเข้าเขียนว่า Sri Nagavihara International Buddhist Centre Jaffna เป็นวัดที่ไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวางเท่าใดนัก
พงศาวดาร “มหาวงศ์” ได้บันทึกเรื่องราวไว้ว่าพระสังฆมิตตาเถรี พระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราชที่อุปสมบทเป็นภิกษุณีได้เดินทางจากอินเดียพร้อมคณะภิกษุณีและผู้ติดตาม นำหน่อของต้นพระศรีมหาโพธิแห่งพุทธคยามาขึ้นฝั่งเกาะลังกาบนคาบสมุทรจาฟฟ์นา ตรงกับปีใดไม่มีใครทราบแน่ชัด
พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะเสด็จจากกรุงอนุราธปุระมาต้อนรับ และเมื่อขบวนอัญเชิญพระศรีมหาโพธิมาถึงบริเวณนี้ ชาวนากาซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมตอนบนของเกาะลังกา ได้ร้องขอให้ขบวนแวะพักเพื่อเฉลิมฉลองและถวายสักการะต้นพระศรีมหาโพธิเป็นเวลา 7 วัน พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะก็ทรงอนุญาต และภายหลังวัดศรีนากาวิหารก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกเหตุการณ์ในครั้งนั้น โดยเชื่อว่าพระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะเป็นผู้มีบัญชาให้สร้าง
วัดนัลลูร์ขันทสวามี มองจากทิศใต้ของวัด โคปุระหรือซุ้มประตู 9 ชั้นนี้เรียกว่า “ประตูทอง”
ระหว่างสงครามกลางเมือง 26 ปี วัดศรีนากาถูกทำลายลงไปบางส่วน แต่ไม่กี่ปีมานี้รัฐบาลได้บูรณะขึ้นมาใหม่จนอยู่ในสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง มีรูปปั้นจำลองเหตุการณ์เมื่อครั้งกระโน้น นั่นคือพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะทรงคุกเข่าพนมมือต่อพระสังฆมิตตาเถรีที่กำลังถือหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ
ถัดจากรูปปั้นดังกล่าวคือต้นโพธิ์ ถูกล้อมรั้วคอนกรีตไว้อย่างดี 2 ชั้น มีอัฒจันทร์ศิลาหรือมูนสโตนตรงทางเข้า ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็น 1 ใน 32 ต้นโพธิ์ที่มีการตอนกิ่งไปจากพระศรีมหาโพธิกรุงอนุราธปุระเพื่อปลูกทั่วศรีลังกาในกาลต่อมาหรือไม่
ใกล้ๆ กับต้นโพธิ์คือพระเจดีย์สีขาวขนาดไม่ใหญ่นัก มีทางขึ้น 4 ทาง และมีอัฒจันทร์ศิลาทั้ง 4 ฝั่ง ทราบว่ามีการพบร่องรอยของวฏะดาเกหรือศาลาครอบพระเจดีย์อันบ่งบอกได้ถึงความเก่าแก่ของเจดีย์ (องค์เดิม) รวมถึงหินพระพุทธบาท
ฝั่งซ้ายมือหลังจากเดินเข้าวัดมีฮินดูสถานขนาดย่อมตั้งอยู่ ชื่อว่า “ปัญจมหาเทวาลัย” เป็นอาคารสีขาวแถบสีแดง มี 1 ประตู 2 หน้าต่าง ภายในประดิษฐานเทพเจ้าที่ชาวฮินดูในศรีลังกาให้การเคารพสักการะเป็นพิเศษ 5 องค์ ได้แก่ พระศิวะ, พระวิษณุ, พระพิฆเนศ, พระแม่ลักษมี และพระขันทกุมาร รวมถึงพระศิวลึงค์บนฐานโยนีที่ฝั่งซ้ายของห้อง
หน้าปัญจมหาเทวาลัยมีรถปิกอัพจอดอยู่ 1 คัน บนกระบะตกแต่งเป็นรูปกล่องสี่เหลี่ยม เขียนข้อความไว้รอบ ทั้งภาษาสิงหลและทมิฬ รวมถึงสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู มีภาษาอังกฤษอยู่ประโยคเดียว คือ “Buddhists and Hindus United”
ผมเดินออกจากวัดผ่านหน้าทหารที่ถือปืนยืนยามอยู่ เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Jaffna-Point Pedro Rd. เลี้ยวขวาอีกทีไปยังถนน Navalar Rd. ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ต้องกางร่มยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่กล้าเข้าไปหลบในศาลาป้ายรถเมล์เพราะมีคนอยู่เยอะ พอฝนซาผมก็เดินต่อจนถึงพิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดีเมืองจาฟฟ์นา (Archaeological Museum, Jaffna) ตั้งอยู่ด้านหลังของอาคาร Navalar Cultural Hall ราว 150 เมตร
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1978 ไม่เก็บค่าบริการ แต่ให้ผู้เข้าชมบริจาคตามความสมัครใจ ตัวอาคารดูจากภายนอกสภาพไม่เหมือนพิพิธภัณฑ์ ออกคล้ายๆ ที่เก็บของมากกว่า แต่พอเดินเข้าไปจึงเห็นว่ามีการจัดระบบได้ดี มีห้องหลายห้อง และจัดแสดงของสะสมจำนวนมาก น่าเสียดายตรงห้ามถ่ายภาพ
เจ้าหน้าที่หนุ่มบอกว่าโบราณวัตถุที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ได้รับมาจากสถานที่ต่างๆ ในเมืองจาฟฟ์นาและพื้นที่ใกล้เคียงในจังหวัดนอร์เทิร์น หลังสงครามกลางเมืองมีการนำโบราณวัตถุเข้ามาเพิ่มจำนวนหนึ่ง เนื่องจากสถานที่เก็บรักษาเดิมถูกทำลายจนพังพินาศ
โบราณวัตถุ-สิ่งแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ที่ผมจำได้และรีบจดลงสมุดหลังกลับถึงที่พัก มีดังนี้ รูปแกะสลักหินเทพเจ้าฮินดู อายุระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11-13, บานประตู-บานหน้าต่างจากไม้ชิ้นเดียวที่แกะสลักลวดลายอย่างสวยงาม, ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันสมัยโบราณ, อุปกรณ์-เครื่องทุ่นแรงทางเกษตร, เครื่องปั้นดินเผา เครื่องโลหะต่างๆ, อัญมณี-เครื่องประดับ, เครื่องแต่งกาย, เครื่องดนตรี ที่น่าประทับใจมากคือเครื่องดนตรีลักษณะเป็นหม้อดินเผา มี 7 ปากสูงต่ำไม่เท่ากัน ใส่น้ำลงไปแล้วตีที่ปากก็จะได้เสียงโน้ตต่างกัน 7 เสียง
นอกจากนี้ยังมีศาสตราอาวุธจำพวกหอก, ดาบ, ขวาน รวมถึงเครื่องมือล่าสัตว์, เสลี่ยงสำหรับแบกหามบุคคลสำคัญ, เครื่องใช้-เครื่องประดับทำจากงาช้าง, เครื่องไม้ใช้สอยที่เกี่ยวกับการกินหมาก, เหรียญและเงินโบราณ, สิ่งของจากยุคอาณานิคม เช่น อ่างศีลจุ่ม, โทรศัพท์, ภาพเขียนขนาดใหญ่ควีนวิกตอเรียแห่งอังกฤษ ไม่ว่าเราจะเคลื่อนไปตำแหน่งไหน สายพระเนตรก็มองตาม แบบเดียวกับภาพเขียนโมนาลิซา
เจ้าหน้าที่หนุ่มยืนคอยขณะผมชมแต่ละชิ้น ผมก็เลยเกรงใจ ไม่กล้าดูนานเกินไป ตอนหลังผมขอให้เขาปล่อยผมไว้ตามลำพัง เขาก็ยินดี
การชมวัตถุโบราณเวียนไปจนถึงตอนจบ เป็นการบังคับให้ปิดท้ายที่ส่วนนี้ คือส่วนที่เป็นพระพุทธรูปเศียรขาด ตั้งแสดงส่วนลำตัวและส่วนหัวแยกกัน ประมาณ 3 ชุด ไม่แน่ใจว่าภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์มีความตั้งใจประการใด
เจ้าหน้าที่คนเดิมเดินมาดักตรงประตูทางออก เขาขอให้เขียนความประทับใจลงในสมุดเยี่ยม และชี้ไปที่ตู้บริจาค ผมกะจะบริจาค 500 รูปี แต่ไม่มีแบงก์ 500 มีใบละ 100 รูปี 2 ใบ และใบละ 20 รูปีอีกสิบกว่าใบ ผมยื่นให้เขาไปทั้งหมด ถามว่า “โอเคมั้ย น้อยไปมั้ย” เขารับไปแล้วพับครึ่งโดยไม่ดูจำนวน ยัดลงตู้ทันที แสดงสีหน้าพอใจ
ผมเดินออกจากพิพิธภัณฑ์กลับเข้าสู่ถนน Navalar เลี้ยวซ้ายไปบนถนน Kovil เดินอีก 1 กิโลเมตร รวมระยะทางทั้งหมดจากที่พัก Yaarl Hostel ประมาณ 2.5 กิโลเมตร ถึงวัดนัลลูร์ขันทสวามี (Nallur Kandaswamy Kovil) วัดฮินดูที่สวยงามอลังการ กินพื้นที่ใหญ่กว้าง ประกอบด้วย โคปุระหรือหอคอยซุ้มประตูถึง 4 แห่ง และหอระฆัง 6 หอ ล้อมรอบด้วยกำแพงทุกด้าน ดูคล้ายป้อมปราการเมือง
วัดฮินดูแห่งนี้มีความสำคัญและมีชื่อเสียงที่สุดในจาฟฟ์นา หรืออาจจะทั้งประเทศศรีลังกาก็ว่าได้ องค์เทพประธานของวัดคือพระขันทกุมาร โอรสของพระศิวะกับพระแม่อุมาเทวี เป็นพระอนุชาของพระพิฆเนศ พระขันทสวามีถือเป็นเทพที่ได้รับการสักการะบูชาอย่างสูงในหมู่ชาวทมิฬในศรีลังกาและอินเดียตอนใต้ เป็นเทพแห่งสงคราม ความกล้าหาญ และความเยาว์ตลอดกาล ส่วนคำว่า “นัลลูร์” คือชื่อของเมืองหลวงอาณาจักรจาฟฟ์นาโบราณ ปัจจุบันเป็นเขตหนึ่งของเมืองจาฟฟ์นา
นัลลูร์ขันทสวามีสร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.948 ใกล้ๆ พระราชวังของกษัตริย์จาฟฟ์นา วัดที่เห็นในปัจจุบันถือเป็นวัดที่สร้างขึ้นใหม่เป็นครั้งที่ 4 สถานที่ตั้งเดิมของวัดคือโบสถ์เซนต์เจมส์ในปัจจุบัน อยู่ห่างไปทางตะวันออก 1 กิโลเมตร สำหรับโบสถ์แห่งที่ 3 หรือก่อนจะสร้างใหม่ขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อปี ค.ศ.1734 (ในยุคดัตช์ปกครอง) ถูกทำลายลงในปี ค.ศ.1624 โดย “ฟิลิเป เด โอลิเวรา” คาทอลิกคลั่งศาสนา-แม่ทัพโปรตุเกสผู้พิชิตคาบสมุทรจาฟฟ์นา
ผมไม่รู้มาก่อนว่าวัดปิดตอนกลางวัน เปิดเฉพาะช่วงเช้าและเย็น ได้แต่เดินเลียบกำแพงจากโคปุระหรือซุ้มประตูทิศใต้อันได้ชื่อว่า “ประตูทอง” 9 ชั้น ไปยังประตูตะวันออกซึ่งงดงามไม่แพ้กัน วัดความยาวได้ประมาณ 200 เมตร เพียงประมาณครึ่งทางกว่าจะถึงประตูทิศเหนือ ซึ่งถือเป็นโคปุระขนาดใหญ่สุดบนเกาะศรีลังกา ส่วนทางเข้าหลักคือโคปุระทางทิศตะวันออก
ถึงตอนนี้ผมรู้สึกเมื่อยขาขึ้นมา จากที่ตั้งใจจะเดินต่อไปยังสถานีรถไฟก็ตัดสินใจเรียกตุ๊กๆ ระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตร คนขับคิดค่ารถ 200 รูปี ถึงสถานีผมเข้าไปซื้อตั๋วรถไฟเพื่อเดินทางลงใต้ไปยังสถานีอนุราธปุระในเช้าวันรุ่งขึ้น
ได้นั่งพักที่สถานีรถไฟราว 10 นาทีก็รู้สึกขาแข้งกลับมามีกำลัง เดินกลับที่พักระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร ได้เจอฮันนาห์ในตอนเย็น เธอสารภาพว่าขี่มอเตอร์ไซค์ชนชายคนหนึ่ง โชคดีที่เหยื่อไม่เจ็บหนัก ผมเล่าเรื่องนี้ให้ซูเฟียนฟัง และพูดถึงความกล้าของเธอ
แต่ซูเฟียนมองว่ามันคือความบ้ามากกว่า.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
4 กลุ่มชั่วน่ากลัวเป็นนักหนา กลุ่มที่ 5 ยิ่งน่าสยอง
ณ เวลานี้ หลายคนมองประเทศไทยด้วยความห่วงใยว่า ประเทศไทยของเราที่เป็นที่ชื่นชมของชาวโลก ทั้งการลงทุน การทำมาค้าขาย การเข้ามาพำนักยามชรา และการมาท่องเที่ยว
ลิ้นงู...ที่อยู่ในปากงู!!!
ถึงแม้นจะพะงาบๆ อยู่ห่างๆ...ไม่มีโอกาสได้ลงลึก เจาะลึก ในรายละเอียด ด้วยเหตุเพราะสุขภาพ สังขาร ร่างกาย และอาจด้วยความห่างเหิน ห่างหาย กับใครต่อใครมานานแสนนาน
ตั้ง 'นายพัน' สีกากีเริ่ม
อะไรจะเร็วขนาดนั้น! โผแต่งตั้ง "ตำรวจ" ระดับ "นายพันสีกากี" เริ่มขยับนับหนึ่งกันแล้ว ทั้งๆ ที่ระดับ "นายพล" ล็อตแรก ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.)
ลัคนาตุลกับเค้าโครงชีวิตปี2568
ยังอยู่ในช่วงเจ็ดปีที่มีระยะแตกแยกพี่น้อง หรือเพื่อนสนิท หรือยุ่งยากมรดก-การเงิน
ข้าอยากได้อะไร...ข้าต้องได้
เราคนไทยมักจะอ้างว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ มีการบริหารกิจการต่างๆ ภายในประเทศตามหลักการของนิติธรรม แต่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐจริงหรือ
เมื่อ 'ธรรมชาติ' กำลังแก้แค้น-เอาคืน!!!
เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาของบ้านเรา...ท่านเคยคาดๆ ไว้ว่า ฤดูหนาว ปีนี้น่าจะมาถึงประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม