จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 นับตั้งแต่วันวาเลนไทน์เป็นต้นมามีจำนวนสูงมากจนเลยระดับ 20,000 ไปแล้ว ตัวเลขดังกล่าวนี้เลยระดับฉากทัศน์ที่น่าจะเป็น (The likely case scenario) และสถานการณ์กำลังเข้าใกล้ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด (The worst case scenario) เต็มทีแล้ว ถ้าหากเราไม่มีการกำหนดมาตรการเพิ่มเติม และพวกเราไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เราก็คงจะต้องเผชิญกับฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือมีคนติดเชื้อวันละมากกว่า 30,000 คน และเราต้องใช้เวลาแก้ไขถึง 6 เดือน ดังนั้นเวลานี้ทางภาครัฐ ทั้งรัฐบาล และหน่วยงานราชการฝ่ายปกครอง ตลอดจน ศบค. จึงได้มีการกำหนดมาตรการต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น การยกระดับการเฝ้าระวังจากระดับ 3 เป็นระดับ 4 บางจังหวัดก็กำหนดคุณสมบัติของคนเข้าพื้นที่ บางจังหวัดก็มีการระงับกิจกรรมบางอย่าง บางจังหวัดมีการกำหนดจำนวนวัน เวลา และคนที่จะเข้าร่วมกิจกรรม การดำเนินการดังกล่าวนี้เป็นความหวังว่าเราจะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงได้ในเดือนมีนาคมนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้เราก็ควรจะช่วยกัน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างที่จะทำให้เราอยู่รอดปลอดภัยจากการติดเชื้อ และจะต้องพยายามที่จะเข้าใจสถานการณ์ว่าทำไมจำนวนผู้ติดเชื้อแต่ละวันจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้น ตัวเราเองมีพฤติกรรมอะไรบ้างที่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น บางคนไม่เคยคิดที่จะวิเคราะห์พฤติกรรมตัวเองเพื่อการปรับตัว แต่กลับมานั่งวิตกกังวลจนจะเป็นโรคประสาท บางคนก็ด่ารัฐบาล ด่าเจ้าหน้าที่ ปานประหนึ่งว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเวลานี้เป็นการกระทำของรัฐบาล ของเจ้าหน้าที่รัฐ การที่เอาแต่กลัวจนวิตกกังวล หรือเอาแต่ด่า จะมีประโยชน์อันใด เมื่อมีปัญหาก็ต้องช่วยกันแก้ไข ทุกคนต้องมีส่วนร่วม การที่เราจะแก้ปัญหาได้จะต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ไม่ใช่จะโยนการแก้ปัญหาไปที่รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ภาครัฐเท่านั้น พวกเราจำนวนมากเป็นชาวพุทธที่เคยเรียนเรื่องอริยสัจ 4 กันมาแล้ว ดังนั้นก็ควรจะใช้ปัญญาในการนำเอาหลักการของอริยสัจ 4 มาใช้ในการแก้ปัญหา
เวลานี้การติดเชื้อโควิด-19 เป็นจำนวนมากก็คือ “ทุกข์” เมื่อเรารู้ว่าทุกข์คืออะไรแล้ว เราจะดับทุกข์นี้ได้ เราก็ต้องรู้ “สมุทัย” ซึ่งหมายถึงเหตุแห่งทุกข์ แล้วเราจึงจะหา “นิโรธ” อันเป็นแนวทางในการดับทุกข์ให้ได้ และเมื่อเจอแนวทางดังกล่าวแล้วเราก็จะต้องร่วมมือกันปฏิบัติตามแนวทางหรือ “มรรค” ที่เราเชื่อว่าจะสามารถกำจัดทุกข์ที่มีอยู่ได้ การกระทำเช่นนี้น่าจะแก้ปัญหาหรือทุกข์ที่เรามีอยู่ได้ ดีกว่าจะมัวมานั่งวิตกกังวลด้วยความกลัว หรือมานั่งก่นดารัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่พยายามทำงานกันอย่างเต็มที่ ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก ทั้งๆ ที่มีทั้งภาระในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค และจะต้องมองหามาตรการในการฟื้นเศรษฐกิจที่ถดถอยไปในช่วงที่เราต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 มาตั้งแต่ปี 2563 เพราะประชาชนมีทั้งคนที่ต้องการความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และคนที่ต้องการทำมาหากินเป็นปรกติ กลุ่มแรกกลัวตายเพราะติดเชื้อ กลุ่มหลังกลัวอดตายเพราะไม่สามารถทำมาหากินได้ ดังนั้นผู้ที่ทำหน้าที่ในการตัดสินใจว่าจะต้องมีมาตรการอะไรบ้าง ต้องทำด้วยความยากลำบาก เพื่อที่จะสร้างดุลยภาพสำหรับสองเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นก็จะสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้เพื่อการปรับตัวก็คือเหตุแห่งปัญหา (สมุทัย) จากการสอบถามผู้รู้มาได้ความว่า หลังจากที่ทางการได้ประกาศให้มีการผ่อนปรนหลายๆ เรื่อง ประชาชนจำนวนหนึ่งเกิดอาการประมาท การ์ดตก ไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค.ประกาศอย่างเคร่งครัด ขาดจิตสาธารณะ ทำตามใจตัวเองในสิ่งที่อยากทำ โดยไม่คำนึงว่าการกระทำดังกล่าวนั้นจะทำให้เกิดการติดเชื้อเป็น Cluster หรือไม่ เช่น การจัดงานเลี้ยงต่างๆ ทั้งงานแต่ง งานบวช งานวันเกิด และการฉลองต่างๆ เป็นการจัดงานที่ไม่ได้จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วม หรือไม่ได้ปฏิบัติตามหลักของ New normal ไม่ใส่หน้ากาก ไม่เว้นระยะห่าง บางคนก็ยังมีการตั้งวงกินเหล้า บางคนก็ยังมีการตั้งวงเล่นการพนัน นอกจากนั้นก็ยังเกิด Cluster ในโรงงาน ในสำนักงาน ในโรงเรียน และในสถานบันเทิง เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้วเราก็น่าจะหา “นิโรธ” ที่จะเป็นทางแก้ไขปัญหาได้
จริงๆ แล้วแนวทางในการแก้ปัญหานั้นมีอยู่แล้ว แต่หลายคนไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนด เช่น เรื่อง New normal ที่ ศบค.แนะนำมาตั้งแต่เริ่มเกิดปัญหายังเป็นแนวทางที่แก้ไขได้อยู่ เราต้องใส่หน้ากากเมื่อออกนอกบ้าน และไม่ได้อยู่คนเดียว สัมผัสพื้นผิวใดๆ ก็ต้องหมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ รักษาระยะห่างจากคนอื่น เข้าอาคารสถานที่ต่างๆ ก็จะต้องคัดกรองด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิ และในยามนี้หากไปร่วมกิจกรรมใดๆ ที่มีคนจำนวนมาก และไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกันได้ ก็ควรจะมีการตรวจ ATK ผู้ที่เข้าร่วมทุกคน นอกจากนั้นแล้ว ด้วยสำนึกสาธารณะ เราควรพิจารณา อะไรเลิกได้ก็ควรเลิก อะไรลดได้ก็ควรลด อะไรเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง อะไรเลื่อนได้ก็ควรเลื่อน สำนักงาน โรงงาน โรงเรียน มหาวิทยาลัย จะต้องมีมาตรการ New normal และการคัดกรองอย่างเคร่งครัด ในเวลาเช่นนี้เราคงทำตามใจตัวเองไปทุกเรื่องไม่ได้ การที่สำนึกสาธารณะ รับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบคนรอบข้าง รับผิดชอบสังคมโดยรวม เป็นสิ่งที่พวกเราทั้งหลายต้องมี เพื่อที่จะได้ร่วมมือกันแก้ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่
เมื่อเรารู้แนวทางในการแก้ปัญหา (นิโรธ) แล้ว เราทุกคนก็ต้องนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เมื่อเราทุกคนร่วมมือกัน ปฏิบัติตนตามแนวทางเป็น “มรรค” ก็จะเกิดผล คือเราจะสามารถกำจัด “ทุกข์” ได้ สำหรับคนที่เกลียดชังรัฐบาล และต้องการที่จะไล่นายกรัฐมนตรี ขอให้หยุดเรื่องการแซะ แขวะ ด่า รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีก่อนได้ไหม เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาด่าทอต่อว่าด้อยค่ากัน แต่เป็นเวลาที่เราต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาให้เราหลุดพ้นจาก “ทุกข์” ที่เราต้องเผชิญอยู่ในขณะนี้ ถ้าหากจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นไปจนถึง 30,000 ศบค.คงจ้องพิจารณากำหนดมาตรการในการระงับกิจกรรมบางอย่าง ถึงเวลานั้นคนที่ได้รับผลกระทบก็คงออกมาด่ากันอีก เวลานี้ “กลัวไป ด่าไป” คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ถ้าจะช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ มาเรียนรู้ที่จะปรับแนวทางในการดำเนินชีวิตกันดีกว่า โควิด-19 จะยังอยู่กับเราต่อไปอีกนาน แต่เราต้องไม่ให้สถานการณ์รุนแรงจนระบบสาธารณสุขของเรารองรับไม่ได้ และทำให้เราเสียสถิติของความสามารถในการจัดการโควิด-19.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ลัคนาธนูกับเค้าโครงชีวิตปี 2568
ยังอยู่ในช่วงเจ็ดปีของการเปลี่ยนแปลงใหญ่สุขภาพอนามัย-หนี้สิน-ลูกน้องบริวาร และเกือบตลอดปีผู้หลักผู้ใหญ่อวยสถานะ-ยศ-เงินทองให้ แต่มีช่วงซ้อมรับทุกข์และการได้ความผิดที่ไม่ได้ก่อ
ดร.เสรี ลั่นรังเกียจ วาทกรรมแซะสถาบัน
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า เกิดวาทกรรมใหม่ "ใบอนุญาตที่ 2"
เด็กฝึกงาน...ไม่ผ่านโปร
ฉากทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทยหลังจากรู้ผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นภาพที่สร้างความกังวลให้กับคนไทยจำนวนมากที่ไม่ได้เลือกพรรคส้มหรือพรรคแดง
'ความเป็นไทย' กับกรณีน้ำท่วมภาคเหนือ-ภาคใต้
ถึงแม้จะก่อเกิด ถือกำเนิด ที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี...แต่ด้วยเหตุเพราะไปเติบโตที่ภาคใต้ ไม่ว่าเริ่มตั้งแต่อำเภอทุ่งสง จังหวัดหน่ะคอนซี้ทำหมะร่าด ไปจนอำเภอกันตัง
ได้ฤกษ์ 'นายพล' ล็อต 2
ผ่านเดดไลน์ตามคำสั่ง ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ทุกหน่วยส่งบัญชีข้อมูลผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น
'ดร.เสรี' กรีดเหวอะ! ใครมีลูกสาวเก่งพอที่จะเป็นนายกฯ ต้องบอกลูกให้มีผัว 9 คนอยู่ใน 9 ภาค
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า ใครมีลูกสาวที่เก่งพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ต้องบอกลูกนะคะ