ว่าด้วย...ความโดดเดี่ยว!!!

น่าจะประมาณซัก 2 ทศวรรษกว่าๆ เห็นจะได้...ที่ อันตัวข้าพเจ้าเอง ได้ปรับจิต ปรับใจ ปรับวิถีชีวิต หันมาปลีกวิเวก หันมาปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้างอยู่ตามลำพัง หรือแทบไม่ได้ไป-มาหาสู่ ติดต่อ-สื่อสารกับใครต่อใคร เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา-เป็นไปตามปกติ แม้แต่โทรศัพท์มือถือ...หลังๆ นี้ก็ไม่ค่อยได้เปิด บรรดาพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เคยกริ๊งๆ กร๊างๆ...เลยหายเกลี้ยง!!!

คือเหตุที่ไม่ค่อยอยากเปิด อาจเพราะก่อนหน้านี้...บรรดาสายที่เรียกเข้ามาโดยส่วนใหญ่ เกือบ 80-90 เปอร์เซ็นต์เห็นจะได้ ถ้าไม่หนักไปทาง ยืมตังค์ ก็อาจขอให้ ฝากงาน ไม่ก็ขอให้ช่วยโน่น ช่วยนี่ หรือออกไปทางหวังพึ่งพาบารมีอะไรทำนองนั้น มีประมาณซักแค่ 5-6 เปอร์เซ็นต์ไม่เกินนั้น ที่โทร.เข้ามาเพื่อไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ประเภทอยากรู้ว่า...ตายไปแล้ว หรือยังมีชีวิตอยู่ เช่น เพื่อนเก่า เพื่อนแก่ อย่างอาเสี่ย ปกรณ์ พงศ์วราภา เป็นต้น

แต่ครั้นเมื่อตัดสินใจปลีกวิเวก ปอกกล้วยเปลี่ยว มานานแล้ว ไม่ว่าจะปาฏิหาริย์บารมี อำนาจบารมี ทรัพย์บารมี หรือบารมีไหนๆ ก็เถอะ มันจะไปเหลืออะไร??? โอกาสที่จะช่วยเหลือเฟือยฟายใครต่อใคร จึงแทบ เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย แถมกลับทำให้ตัวเองพลอยรู้สึกอึดอัด ขัดข้องใจ ที่ไม่อาจช่วยใครๆ ได้เหมือนอย่างที่เคยช่วยๆ มาเมื่อครั้งก่อนๆ...

อย่างไรก็ตาม...การโดดเดี่ยว เดียวดาย ในบ้านร้างนั้น คงต้องยอมรับว่า ถ้าหากเริ่มคุ้นเคย คุ้นชิน ขึ้นมาเมื่อไหร่ หรือเริ่มหมดอารมณ์-ความรู้สึกที่ยังอยากจะ พล่านน์น์น์ไป-พล่านน์น์น์มา มันออกจะเป็นอะไรที่ทั้ง เบา และทั้ง สบาย ไม่น้อยทีเดียวเจียว แถมยังเหมาะกับบรรดาคนแก่-คนชรา ที่ไม่ว่าจะ แข็ง ขนาดไหน แต่ก็คง แรง ไม่มีซะเป็นส่วนใหญ่ หรือแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง กำลังวังชา คิดอยากจะสู้กะใคร คัดค้านใคร ก็อาจต้องส่งเสียงแหบๆ เครือๆ ประมาณ... ช่วยหาม...ลุงไปตีกะมันที อะไรทำนองนั้น พูดง่ายๆ ว่า...เมื่อไม่มีโอกาสได้ไปพบปะ เจอหน้า เจอตา ใครต่อใคร บรรดาสิ่งต่างๆ ที่มันมักไหลเข้ามาทาง ประสาทสัมผัสทั้ง 5 และก่อให้เกิดการ ปรุงแต่ง อารมณ์-ความรู้สึกไปในทางไหนต่อทางไหน ย่อมต้องลดน้อย-ถอยลงไปตามลำดับ ยิ่งถ้าไม่มี หนี้สิน ให้แบก ไม่มี ภาระ ใดๆ ให้แบก ก็ยิ่งมีสิทธิ์เบาๆ-สบายๆ ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...

และถ้าจะว่าไปแล้ว...บรรดา พระศาสดา ของหลายต่อหลายศาสนา ท่านก็มักอาศัยกระบวนการโดดเดี่ยว เดียวดาย ตัวเอง อย่างชนิดเป็นระบบและเป็นกิจการเอาเลยถึงขั้นนั้น ถึงจะสามารถ ฝ่าด่าน ฝ่าอุปสรรค กางกั้น ทั้งหลาย จนถึงขั้นรู้แจ้ง ตรัสรู้ หรือรู้ว่า พระผู้เป็นเจ้า มุ่งประสงค์และต้องการในสิ่งไหนต่อสิ่งไหน อย่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของหมู่เฮาถึงกับต้องลงทุนปลีกวิเวกไปนั่งอยู่แถวๆ โคนต้นไม้ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน โน่นเลย ส่วน พระเยซูคริสต์ เห็นว่าแวบไปอยู่แถวๆ ทะเลทรายอันเวิ้งว้าง เปล่าเปลี่ยว ออกอาการไม่ต่างอะไรไปจากฤาษี โยคี อินเดีย จนใครต่อใครถึงกับนำเอาศาสนาคริสต์ไปเชื่อมโยงกับพวกฤาษีในศาสนายูดาห์นิกาย เอสเซเนส (Essenes) ไปจนได้ ส่วน พระนบีมุฮัมมัด ถึงขั้นไปหมกตัวอยู่บนภูเขา ฮีรัม อยู่นานพอสมควร ถึงมีโอกาสได้พบกับ เทวทูตกาเบรียล และได้รู้ความประสงค์จุดมุ่งหมายของ พระอัลเลาะห์ เจ้า...ฯลฯลฯ...

แต่สำหรับประเภทที่ รู้งูๆ-ปลาๆ หรือ รู้มั่ง-ไม่รู้มั่ง อย่าง อันตัวข้าพเจ้าเอง คงไม่คิดไปไกล หรือไม่มีสิทธิ์ไปไกลได้ถึงขั้นนั้นอยู่แล้วแน่ๆ คือเอาแค่พอได้ เบาๆ-สบายๆ ก็ถือเป็นพระคุณยิ่งแล้ว เพราะถึงเคยพยายามนำเอากระบวนการและกรรมวิธีของ พระศาสดา ท่านมาใช้อยู่มั่ง เช่น ลองหลับตาพริ้ม สูดลมหายใจเข้า-ออก ระหว่างอยู่ตามลำพังตัวคนเดียว ประเภท ยุบหนอ-พองหนอ อะไรประมาณนั้น ผลสรุปโดยส่วนใหญ่...ก็คือมัก สิ้นสติสมประดี หรือ หลับสนิทนิทรา ในชั่วเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ ไม่ก็เผลอไปคิดโน่น-คิดนี่ จนอาจก่อให้เกิดอาการฟุ้งกระจาย แผ่ซ่าน หรือ ฟุ้งซ่าน เอาง่ายๆ โดยเฉพาะช่วงแรกๆ หรือช่วงที่ยังไม่ถึงกับคุ้นเคย คุ้นชิน กับความโดดเดี่ยว เดียวดาย มากมายซักเท่าไหร่ โอกาสที่จะคิดโน่น-คิดนี่ คิดมาก หรือคิดเล็ก-คิดน้อย ย่อมมีความเป็นไปได้เสมอๆ...

แต่ครั้นเมื่อเริ่มคุ้นเคย คุ้นชิน จนไม่คิดจะ พล่านน์น์น์ ไป ณ ที่ไหนอีกแล้ว การที่ไม่มีอะไรต้อง แบก และแทบไม่มีอะไรไหลเข้ามา ปรุงแต่ง อารมณ์-ความรู้สึกมากมายซักเท่าไหร่นัก ถึงไม่ต้อง ยุบหนอ-พองหนอ เอาเลยก็ยังได้ แต่โดยสภาวะแวดล้อมและบรรยากาศ มันก็พอช่วยให้เกิด สมาธิ ขึ้นมาได้มั่งไม่มาก-ก็น้อย และจากที่เคยคิดโน่น-คิดนี่ จนอาจเกิดอาการฟุ้งซ่าน ฟุ้งกระจาย ได้ไม่ยาก แต่เมื่อคิดไปนานๆ คิดถึงขั้น ตกผลึก ขึ้นมาจนได้ สิ่งที่หลงเหลือนับจากนั้น แม้จะไม่ถึงกับหะรูหะราชนิดสามารถใช้คำว่า ปัญญา เป็นตัวเรียกขาน แต่ก็พอช่วยให้ไม่ถึงกับต้องหวนกลับไป โง่ หรือไปจมอยู่กับสิ่งรัดรึงต่างๆ ที่ออกจะไม่ได้เรื่อง-ได้ราว หรือไม่ถึงกับเป็นสารประโยชน์มากมายซักเท่าไหร่นัก...

สรุปรวมความแล้ว...สำหรับบรรดาผู้ที่แก่ ผู้ที่ชราแล้วทั้งหลาย และผู้ที่คิดจะหันไปให้ความสนใจกับสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา ในฐานะยารักษาโรค หรือยาบำรุง ก็แล้วแต่ ก็ลองหาช่อง หาทาง โดดเดี่ยว เดียวดาย หรือลอง ปลีกวิเวก ดูมั่ง ก็ไม่น่าจะถึงกับเสียหายอะไรมาก อย่างน้อยก็น่าจะเข้าท่ากว่า บรรดาผู้ที่ แก่แล้ว-แก่เลย หรือ แก่เพราะกินข้าว-เฒ่าเพราะอยู่นาน ที่ยังพยายามส่งเสียงแหบโหยและครวญคราง ประเภท... ช่วยหามลุง...ไปตีกะมันที อะไรทำนองนั้น...

------------------------------------------------------------------

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“ความจริง”เครื่องมือชิ้นสุดท้ายในห้วง“กลียุค”

นอกจากคนอินตะระเดียยุคโบร่ำโบราณ...ท่านจะแบ่งห้วงเวลาของแต่ละยุค ออกเป็น 4 ช่วง 4 ระยะ เริ่มจาก กฤตยายุค หรือ สัตตยายุค ที่บรรดาความดี-ความงาม-ความจริง ต่างมีอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ไปทั้ง 4 ส่วน

มติ 'ก.พ.ค.ตร.'

มีสัญญาณให้จับตา ต้นเดือนสิงหาที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน ปมปัญหาเรื่องสถานะ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ภายหลังจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)

อริยสัจ 4...หลักการดีที่ควรใช้

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้คนนับถือศาสนาพุทธมากกว่า 92% และในคำสอนของศาสนาพุธก็มีอริยสัจ 4 เป็นหลักที่ใช้ในการแก้ปัญหาที่ยุ่งเหยิงไปสู่ความสงบ

โชคดี...ที่ตายก่อน!!!

เห็นข่าวคราวว่าด้วย หลานสาว ชาวไทยรายหนึ่ง...ซึ่งน่าจะเป็นปุถุชนคนธรรมดา ไม่ได้โดดเด่น โด่งดัง ใดๆ มาก่อนเลย แต่เมื่อเธอโพสต์คลิปวิดีโอ โดยตัวเธอเองนั่ง