การเมืองเรื่อง 'ราคาน้ำมัน'

การเมืองเรื่อง "ล้มรัฐบาล" วนอยู่กับตัณหา-โมหะของพวก "ปิศาจกระสัน" ล่มชาติ

ที่ไม่วนอยู่กับที่ ตอนนี้ คือ "ราคาน้ำมัน"

"น้ำมันดิบ" ตลาดโลก วนขึ้นสู่หลัก ๑๐๐ เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ประเทศที่ "นำเข้า" สุทธิ อย่างไทย กำสรวล

แต่ประเทศ "ส่งออก" สุทธิ อย่างมาเลย์ สรวลสันหรรษา!

ผมเห็น ดร.โสภณ พรโชคชัย โพสต์เฟซวันก่อน ด้วยข้อความสื่อสารทำนองว่า

ดีเซลตามปั๊มของไทยลิตรละ ๒๙-๓๐ บาท แพง

ไปนำเข้าดีเซลมาเลเซียดีกว่า ลิตรละ ๑๗ บาท มาขายลิตรละ ๒๐-๒๑ บาท

คนดีกรี "ดอกเตอร์" นำหน้าโพสต์อย่างนี้ พวกร้องเอาแต่ น้ำมันถูก..น้ำมันถูก อาจทึกทัก เออ..จริงด้วย ชนิดไม่สนเหตุปัจจัย อันเป็นที่มาของการถูก-แพง!

ก่อนจะคุย ผมจะยก "ราคาเปรียบเทียบ" น้ำมันหน้าปั๊มในประเทศกลุ่มอาเซียนมาให้ดูก่อน

ราคาน้ำมัน ณ วันที่ ๗ กุมภา ๖๕ หน้าปั๊มแต่ละประเทศ

-ไทย ดีเซล ๒๙.๙๔ บาท/ลิตร เบนซิน ๓๔.๕๕

-สิงคโปร์ ดีเซล ๕๖.๐๗ บาท/ลิตร เบนซิน ๖๖.๘๙

-ลาว ดีเซล ๓๔.๗๕ บาท/ลิตร เบนซิน ๔๔.๖๗

-ฟิลิปปินส์ ดีเซล ๓๒.๐๒ บาท/ลิตร เบนซิน ๓๘.๙๕

-เมียนมา ดีเซล ๓๑.๗๐ บาท/ลิตร เบนซิน ๓๒.๕๒

-กัมพูชา ดีเซล ๓๐.๘๘ บาท/ลิตร เบนซิน ๓๘.๑๙

-อินโดนีเซีย ดีเซล ๓๐.๕๗ บาท/ลิตร เบนซิน ๒๘.๙๓

-เวียดนาม ดีเซล ๒๗.๕๘ บาท/ลิตร เบนซิน ๓๔.๕๔       

-มาเลเซีย ดีเซล ๑๗ บาท/ลิตร เบนซิน ๑๖.๒๑

-บรูไน ดีเซล ๗ บาท/ลิตร เบนซิน ๑๓.๐๓

จะเห็นว่า ที่ร้องกัน ถ้ามองตัวเลขประเทศอื่นด้วย จะไม่ร้อง เว้นแต่เจตนาหาเหตุด่ารัฐบาล มองแค่ตัวเลขบ้านเรา

ที่ถูกกว่าเรา มีแค่เวียดนาม มาเลย์ฯ และบรูไน เมื่อรู้แล้ว ก็อยากบอก ดร.โสภณว่า

ที่ว่าไปนำเข้าจากบรูไน ลิตรละ ๗ บาท มาขายซัก ๑๕  บาท ไม่ถูกกว่านำเข้าจากมาเลย์ที่ลิตรละ ๑๗ บาทหรือ นั้น

ถ้าอยากกระแทกแดกดัน อยากสร้างความขัดแย้งซ้ำเติมบ้านเมืองตามสันดานละก็

หาเรื่องฉลาดๆ กว่านี้มาโพสต์ จะทำให้คำว่าดอกเตอร์ดูไม่สถุลนะ

ใครๆ ก็อยากใช้น้ำมันราคาถูกทั้่งนั้น แต่อย่างที่บอก การถูก-การแพง มันต้องดูเหตุปัจจัยและดูเขา-ดูเรา ที่เป็น "ต้นทุนประเทศ" ประกอบด้วย

วันนี้ จะคุยกันประเด็นนี้ ก่อนอื่น ต้องเข้าใจให้ตรงข้อเท็จจริงก่อน คือ อย่าง ปตท., บางจาก, เชลล์, เอสโซ่, คาลเท็กซ์ แค่ผู้จัดหา-นำเข้า-ผลิต เท่านั้น

ผลิตออกมาแล้ว จะตั้งราคาขายเอง "หน้าโรงกลั่น" ตามใจชอบไม่ได้

ต้องให้ "กระทรวงพลังงาน" โดย "สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน" เป็นผู้กำหนดราคา "หน้าโรงกลั่น" ซึ่งเท่ากันหมด

ส่วนที่ขายปลีกตามปั๊ม......

ยี่ห้อไหนขายถูก-ขายแพง "ตามสบาย" กลไกตลาดเสรีจะเป็นตัวควบคุมเอง

ตัวอย่าง ณ ๑๓ กุมภา ราคาหน้าปั๊ม เป็นดังนี้

ดีเซล...

ปตท.-บางจาก ตามปั๊ม จะราคา ๒๙.๙๔ บาท/ลิตร

เชลล์ ตามปั๊ม ราคา ๓๑.๑๔ บาท/ลิตร

เอสโซ่ ตามปั๊ม ๓๐.๓๔ บาท/ลิตร เป็นต้น

เห็นมั้ย ราคาไม่เท่ากัน ใครอยากเติมยี่ห้อไหน เลือกได้ตามกลไกตลาดเสรี

น้ำมันของไทยนั้น กลั่นได้ "มาตรฐานโลก" โรงกลั่นปรับลดกำมะถันในน้ำมัน เพื่อสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษภาวะ "มาตรฐาน ยูโร ๔-๕" โน่นแล้ว

ที่น้ำมันเราแพงกว่าบางประเทศ เช่นมาเลย์ เวียดนาม  ส่วนหนึ่ง ก็เพราะ การกลั่นให้ได้มาตรฐาน ยูโร ๔-๕

"ต้นทุนการผลิต" ย่อมสูงกว่า การผลิตมาตรฐาน ยูโร  ๒ ของมาเลย์หรือของเวียดนาม

ฉะนั้น รถในบ้านเรา ปล่อยสารมลพิษไอเสียต่ำมาก

ส่วนรถประเทศที่มาตรฐานยูโร ๒.......

จะปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์, ไฮโดรคาร์บอนที่ไม่เผาไหม้ และออกไซด์ของไนโตรเจน ซึ่งสร้างมลพิษภาวะและอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมออกมามาก

นั่นคือ ในเมื่อเราต้องการให้บ้านเมืองปลอดมลพิษภาวะ ฝุ่นละอองต้องไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน

ก็ต้องเข้าใจในหลักการ "ราคาสะท้อนคุณภาพ"!

จะยึดแค่ "ราคาหน้าปั๊ม" ประเทศใด-ประเทศหนึ่ง มาสรุปว่า ที่เขาถูก แสดงว่าเขาดีกว่า ของเราที่แพง คือแย่กว่าเขา มันไม่ใช่อย่างนั้นไปทุกเรื่อง

หรือในอาชีพตีราคาอสังหาริมทรัพย์ของ ดร.โสภณ ใช้หลักการสุนัขเห่านี้เป็นมาตรฐานเดียวกันหมด ในการประเมิน?

ไหนๆ คุยแล้ว ก็คุยให้สิ้นกระบวนความ ถึงโครงสร้างราคาน้ำมันระหว่างไทยกับมาเลย์

ไม่ใช่มาอุ้มบริษัทน้ำมันหรืออุ้มรัฐบาล ใครอยากด่า อยากวิจารณ์ ด่าไปเลยตามใจชอบ

แต่เมื่อจะด่า เพื่อไม่เป็นการด้อยค่าตัวเอง......

ควรด่าบนฐานข้อเท็จจริง ไม่ใช่ตะแบงด่าแบบงี่เง่าหรือจงใจใช้ "ความจริงครึ่งเดียว" ปั้นประเด็นด่า ด้วยจุดมุ่งหมายซ่อนเร้น

ประเด็นแรก ไทยเรามีน้ำมันไม่พอใช้ ซ้ำที่มี กำมะถันมาก ไม่เหมาะกลั่นใช้กับเครื่องยนต์บ้านเรา จึงต้องนำเข้าน้่ำมันดิบมากลั่นเอง ถึงขั้น "นำเข้าสุทธิ"

เงินจำนวนมากหมดไปกับการนำเข้าน้ำมันดิบ

การจูงใจให้ประหยัดพลังงาน จูงใจใช้พลังงานทางเลือก  เช่น ก๊าซ การส่งเสริมพลังงานทดแทน

ที่สำคัญ การพัฒนาประเทศชาติจะหยุดนิ่งไม่ได้ การเอาเงินทุ่มไปเพื่อทำให้มีน้ำมันใช้ถูกๆ กัน โดยไม่คำนึงถึงด้านพัฒนา ประเทศก็จะย่ำอยู่กับที่

ดังนั้น ราคาน้ำมันบ้านเรา นอกจาก "ต้นทุนเนื้อน้ำมัน+ราคาหน้าโรงกลั่น" แล้ว

ในน้ำมัน ๑ ลิตร ตามปั๊มในบ้านเรา จึงประกอบด้วย

-ราคาหน้าโรงกลั่น "ราคาเนื้อน้ำมัน" (อ้างอิงสิงคโปร์)

-ภาษี ส่วนที่รัฐบาลเรียกเก็บเพิ่มเติมจากราคาน้ำมันเพื่อนำไปเป็นรายได้พัฒนาประเทศ

ประกอบด้วย ภาษีสรรพสามิต, ภาษีเทศบาลและภาษีมูลค่าเพิ่ม

"ภาษีเทศบาล" เก็บเป็นเงินอุดหนุน, ดูแลพื้นที่ที่โรงกลั่นตั้งอยู่

VAT "ภาษีมูลค่าเพิ่ม" ๗% คิดเพิ่มจากราคาขายส่งและขายปลีก เหมือนสินค้าทั่วไป

-เงินกองทุน ประกอบด้วย

กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เก็บสำรองไว้ตอนราคาน้ำมันผันผวน คือเมื่อราคาน้ำมันตลาดโลกสูงเกินไป ก็ใช้เงินส่วนนี้พยุงราคาขายปลีก อย่างตอนนี้ เป็นต้น

กองทุนส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน ใช้ส่งเสริมพลังงานทดแทนในประเทศ น้ำมันทุกชนิด เก็บเท่ากัน ๐.๑๐ บาท/ลิตร

และค่าการตลาด เป็นส่วนกำไรของธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีกน้ำมัน ใครขายถูก-ขายแพง กำหนดกันเองได้ ผู้บริโภคเป็นผู้เลือกใช้ตามใจชอบ

ทีนี้ มาดู ราคาน้ำมันตามปั๊มของมาเลเซีย ใน ๑ ลิตร จะประกอบด้วย ๒ ส่วนเท่านั้น คือ

๑.ราคาหน้าโรงกลั่น (อ้างอิงสิงคโปร์)

๒.ค่าการตลาด

ค่าการตลาดน้ำมันมาเลย์เป็นดังนี้่

-ไม่มีค่าการตลาด

-ไม่เก็บภาษี

-ไม่เก็บเงินสมทบกองทุน ทั้งหมดนั้น "รัฐบาลอุดหนุนราคา" จึงขายได้ราคาถูก

เหตุที่ขายได้ถูก เพราะมาเลย์เป็นประเทศส่งออกทั้งน้ำมัน ทั้งก๊าซธรรมชาติ "สุทธิ"

รายได้มหาศาล ใช้พัฒนาประเทศได้สบาย ไม่ต้องเก็บภาษี ไม่ต้องเก็บเข้ากองทุน ยังเหลือเฟือ ไปอุดหนุนให้ "ขายปลีก" ราคาต่ำกว่าเป็นจริงอีกตะหาก

แต่ที่สำคัญ น้ำมันมาเลย์ มาตรฐานแค่ ยูโร ๒ ซึ่งต่างกับไทย เกรด "มาตรฐานโลก" ยูโร ๔-๕

ดร.โสภณ พอจะเข้าใจบ้างหรือยังล่ะ ถ้าเข้าใจแล้ว จะโพสต์ด่าหรือกระแนะ-กระแหนอะไรอีก ก็โพสต์ให้มันอยู่ในกรอบข้อมูลก็แล้วกัน

สรุป ที่คุยมาทั้่งหมด ก็คือว่า ในความเป็นจริง ราคาน้ำมัน "ในภาพรวม" ของไทย ไม่ได้แพงกว่าประเทศอื่น แม้กระทั่งในยุโรปและเอเชีย

ที่บางประเทศถูกกว่า เพราะเขาเป็นประเทศ "ส่งออกน้ำมันสุทธิ" อุดหนุนราคา และที่สำคัญ "เกรดน้ำมัน" ต่ำกว่ามาตรฐาน ยูโร ๔ ของไทย

ที่ว่าเราบวกค่าอะไรต่อมิอะไรลงไปนั้น ก็ลองดูประเทศอื่นบ้างซิ ว่าเขาเก็บภาษีกันขนาดไหน และรัฐบาลประเทศนั้นๆ เขาให้บริการอะไรประชาชน

ตรงนี้ ผมอ่านที่คุณ "แหลมา แฉกลับ" เขาโพสต์เฟซ ลองอ่านดูนะ

...................................

แหลมา แฉกลับ!!!

Tuksin B. Shinkrubwat 

เทียบให้ดูอัตราภาษีและสวัสดิการแบบคร่าวๆ ของแต่ละประเทศ กับประเทศไทย ที่พวกชังชาติรังเกียจ ด้อยค่า บอกว่า "สวัสดิการรัฐโคตรห่วย"

เรื่องจริงๆ ที่เราปฏิเสธไม่ได้ คือ ของฟรีไม่มีในโลกนะครับ สวัสดิการที่ว่าดีๆ มันแลกมากับภาษีที่สูงขึ้นแค่ไหน ลองใช้สมองดูครับ

0 สวีเดน ภาษีเงินได้บุคคลสูงสุด ๖๑% แวต ๒๕%

-สวัสดิการที่น่าสนใจ คือ

-บริการสุขภาพ ๓๐๐-๙๐๐ บาท, ลาหยุดดูแลลูกได้  ๔๘๐ วัน

0 ญี่ปุ่น ภาษีเงินได้สูงสุด ๕๖% แวต ๑๐%

-ประกันสุขภาพ จ่ายค่ารักษา ๓๐%, ระบบการประกัน การดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุ

0 ออสเตรีย ภาษีเงินได้สูงสุด ๕๕% แวต ๒๐%

-เงินสงเคราะห์การเลี้่ยงดูบุตร, การดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุ

0 ออสเตรเลีย ภาษีเงินได้สูงสุด ๔๕% ภาษี GST  ๑๐%

-ช่วยอุดหนุนค่ายา, สวัสดิการทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ

0 จีน ภาษีเงินได้สูงสุด ๔๕% แวต ๑๓%

-เบี้ยผู้สูงวัย ๕,๐๐๐ บาท, เงินบำนาญ ๙๕% ของเงินเดือน

0 นอร์เวย์ ภาษีเงินได้สูงสุด ๓๘% แวต ๒๕%

-รักษาพยาบาลฟรี มีค่าเดินทางให้, เรียนฟรีถึงมัธยมปลาย

0 ไทย ภาษีเงินได้สูงสุด ๓๕% แวต ๗%

-เรียนฟรี ๑๒ ปี, บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รักษาฟรี, เบี้ยคนชราสูงสุด ๑,๐๐๐ บาท/เดือน

.......................

เท่านี้แหละ ใครจะชัง จะเชียร์ จะด่า ให้อยู่ในฐานข้อมูล "ความเป็นคน" นี้นะ.

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

การเมืองไทยวันนี้! ฝ่ายหนึ่งโหยหาอดีตที่ไม่มีวันกลับมา อีกฝ่ายโหยหาอนาคตที่ไม่มีวันเกิดขึ้น

ฝ่ายหนึ่งโหยหา “ลุงตู่” อดีตผู้นำในวัยชรา ฝ่ายหนึ่งกล่าวว่า แม้มีอันเป็นไป ก็จะมี “ผู้นำรุ่นใหม่” เกิดขึ้นทดแทนตลอดเวลา ฝ่ายหนึ่งโหยหาอดีต

'วันแห่งนครา-ประชาสุข'

อบอุ่น ปีติ ชื่นใจ กาลนี้ เป็นอะไรๆ ที่ต้องใช้คำว่า "สุขทั่วหล้า-ประชาพร้อมใจ-ใสสดทั้งนครา"

'จากกัญชาถึงค่าไฟ'

เชื่อแล้วจ้า..เชื่อ ๑๐๐% ว่า "วุฒิสภา" ชุดนี้ "สีน้ำเงิน" เข้ม ชนิด "แรงดี-สีไม่ตก"!