หากใครบางคนกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้าของโรงแรม Jetwing ในเมืองจาฟฟ์นาโดยที่เขาไม่ได้เป็นแขกของโรงแรม ให้สันนิษฐานว่าเขาต้องการขึ้นไปดื่มเครื่องดองของเมาเป็นการเฉพาะ เพราะบนชั้นดาดฟ้าคือที่ตั้งของ Rooftop Bar และตามข้อมูลที่ผมได้รับนี่คือบาร์แห่งเดียวในตัวเมืองจาฟฟ์นา
คัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ระบุไว้ว่า การเสพของมึนเมาถือเป็นบาป ฉะนั้นในเมืองที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดูก็มักจะไม่มีการสนับสนุนให้มีผับ-บาร์ จาฟฟ์นาของศรีลังกาคือหนึ่งในนั้น
แม้ว่าในเขตตัวเมืองจะมีร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้รับอนุญาตอยู่หลายร้าน แต่ก็เป็นร้านแบบซื้อกลับไปบริโภคที่บ้าน ร้านเหล่านี้จะลงท้ายด้วยคำว่า Wine Stores ซื้อขายไวน์ เหล้า เบียร์ ผ่านลูกกรงแบบร้านรับจำนำ นอกจากนี้ก็มีร้านอาหารที่เสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ (เท่าที่รู้) อีก 1 ร้าน ชื่อ Liquor Restaurant No.1 ตั้งอยู่ใกล้ๆ ป้อมจาฟฟ์นา ซึ่งคาดว่าใบอนุญาตคงมีราคาสูงลิ่ว และดูๆ ไปเป็นที่ดื่มกินของคนท้องถิ่นมากกว่านักท่องเที่ยวต่างชาติ
สำหรับโรงแรม Jetwing Jaffna บนถนน Hospital Rd. ตัดกับถนน Mahathma Gandhi Rd. ที่ผมเดินเข้ามาในช่วงเย็นของวันนี้ตั้งอยู่ห่างจากป้อมจาฟฟ์นาประมาณ 1 กิโลเมตร Jetwing เป็นโฮเทลเชนชื่อดังของศรีลังกา โรงแรม Jetwing Jaffna มีอีกชื่อคือ Jetwing Yarl และอันที่จริงเจ้าของคือ Yarl Hotels เป็นจอยต์เวนเจอร์ระหว่าง Jetwing และกลุ่มธนาคาร MMBL
คำว่า Yarl นี้เราจะเห็นได้ทั่วไปในจาฟฟ์นา เพราะชื่อเดิมของจาฟฟ์นา (Jaffna) คือ “ยาล” และยาลคือเครื่องดนตรีประเภทสาย ขึงเส้นลวดหรือเอ็นบนวัสดุที่ดัดหรือแต่งเป็นรูปโค้งคล้ายคันธนู ใช้มือดีดเพื่อให้เกิดเสียง ยาลมีหลายชนิด บางชนิดมีขนาดสูงถึง 6 ฟุต และใช้เส้นลวดถึง 1,000 เส้น
ตำนานที่บันทึกไว้มีอยู่ว่า นักดนตรีตาบอดนาม “วีระ ราฆวาน” แห่งอาณาจักรโจฬะจากอนุทวีปอินเดียได้เดินทางมายังตอนเหนือของศรีลังกา ชาวเมืองนิยมชมชอบความไพเราะในการดีด “ยาล” ของเขาเป็นอันมาก ความทราบไปถึงเจ้าเมืองทางเหนือของศรีลังกาในเวลานั้น จึงมีคนตามให้นักดนตรีตาบอดไปเล่นยาลให้เจ้าเมืองฟัง ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วเจ้าเมืองไม่สามารถพบคนตาบอดได้ แต่ก็สามารถแก้ปัญหาโดยการขึงม่านกั้นระหว่างเจ้าเมืองและนักดนตรี
เจ้าเมืองพอใจฝีมือของนักดนตรีตาบอดเป็นอย่างมาก มอบที่ดินริมทะเลผืนใหญ่ (ไม่ห่างจากป้อมจาฟฟ์นาในปัจจุบัน) ให้เป็นรางวัล ต่อมานักดนตรีตาบอดกลับไปชักชวนญาติมิตรและเพื่อนบ้านในอินเดียตอนใต้ให้เดินทางมาตั้งรกรากในเขตที่ดินที่ได้รับจากเจ้าเมือง เขตดังกล่าวจึงถูกเรียกว่า “ยาลปานัม” หรือเมืองของนักเล่นยาล
ยาลปานัมเขียนเป็นภาษาโรมันว่า Yarlpanam หรือ Yalpanam ภาษาพูดของ Yalpanam คือ Yappanam พอโปรตุเกสเข้ายึดตอนเหนือของศรีลังกา พวกเขาเรียกเพี้ยนเป็น Jaffna เพราะ Y และ J ใช้แทนกันได้ เช่นเดียวกับ pp และ ff ส่วนตัวสะกด m ก็ถูกตัดออกไป
เพราะฉะนั้น Yarl หรือ Yal ก็คือ “Jaffna” และในหมู่ชาวทมิฬก็ยังมีคนเรียกเมืองหลวงของจังหวัดนอร์เทิร์นแห่งนี้ว่าเมืองยาล ชื่อโรงแรมและร้านรวงจำนวนมากตั้งชื่อว่า “ยาล” รวมทั้งโฮสเทลที่ผมพัก
กลับมาที่โรงแรม Jetwing Jaffna ของเรากันอีกครั้ง ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมคือร้าน Rooftop Bar เป็นสถานที่ดื่มกินของนักท่องเที่ยว ทั้งจากภูมิภาคอื่นของศรีลังกาและนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงคนที่อยากมาเจอนักท่องเที่ยวต่างชาติ
หนุ่มศรีลังกา 2 คนนั่งคุยอยู่กับฝรั่งชาย-หญิงคู่หนึ่งตอนที่ผมเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะใกล้ๆ เคาน์เตอร์บาร์ สั่งเบียร์ Lion ขนาด 1 ไพนต์ ส่วนกับแกล้มคือไข่เจียวมาซาล่าและปลาทูน่าทอดสมุนไพร ฝรั่งคู่นั้นเช็กบิลลุกออกไปจากร้าน หนุ่มศรีลังกา 2 คนกลับไปนั่งที่โต๊ะของพวกเขา แล้วหนึ่งในนั้นซึ่งเป็นคนที่พูดมากหันมาทักผม เขาคนนี้พูดมากก็จริง แต่แทบไม่พูดภาษาอังกฤษ ผมสังเกตเห็นตอนที่พวกเขานั่งคุยกับฝรั่ง เพื่อนอีกคนทำหน้าที่ล่ามคอยแปล
ผมจิบเบียร์ไปได้เพียงนิดเดียว กับแกล้มอีกหน่อย คนพูดมากก็ยกจานไก่ทอดของเขามาให้ผม บอกว่า “สะอาด กินได้เลย” เขากลับไปนั่งได้ไม่ถึงนาทีก็เดินกลับมาใหม่ นั่งลงที่เก้าอี้ด้านขวามือของผม อีกคนเดินมากล่าวขอโทษแทนเพื่อนของเขา แล้วชวนกันกลับไปนั่งที่เดิม แต่คนพูดมากก็ลุกมานั่งที่โต๊ะผมอีก ฝ่ายเพื่อนคงเห็นว่าห้ามยังไงก็ไม่ฟังแน่ ลุกตามมานั่งด้วย ประกบผมซ้าย-ขวา สารภาพว่าผมไม่อยากให้พวกเขามายุ่งด้วยเลย ทั้งเพราะกลัวโควิด และรังเกียจพฤติกรรมบางอย่างของหนุ่มคนพูดมาก แต่จะให้ทำไงได้ นี่มันบ้านของพวกเขา
คุยไปคุยมาจึงทราบว่าพวกเขาอายุ 27 ปีเท่ากัน ทั้งคู่เป็นชาวทมิฬ คนพูดมากชื่อประกิต อีกคนชื่อคีรี พวกเขาขี่มอเตอร์ไซค์กันมาดื่มที่นี่โดยถือหมวกกันน็อกขึ้นมาด้วย ผมสังเกตเห็นหลายครั้งว่าคนขี่มอเตอร์ไซค์ในศรีลังกาจะไม่ปล่อยให้หมวกกันน็อกห่างจากตัว บางคนขี่มอเตอร์ไซค์ไปตกปลา จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ตรงไหนก็ไม่รู้ แต่ขณะตกปลาก็ยังสวมหมวกกันน็อก ได้ความว่าหากอยู่ห่างกาย หมวกกันน็อกจะหายเอาง่ายๆ และหมวกกันน็อกของพวกเขาล้วนแล้วแต่มีขนาดใหญ่ คลุมทั้งศีรษะและลำคอ ไม่เหมือนในบ้านเราที่หลายคนชอบสวมใบเล็กๆ เปิดหน้า เปิดคอ กันอะไรแทบไม่ได้ นอกจากกันตำรวจ
คีรีทำงานเป็นคนขับรถส่งของอยู่ที่กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ กลับมาเยี่ยมบ้านเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่ฟินแลนด์เขาเข้าผับบาร์เป็นว่าเล่นจึงมีภูมิต้านทาน ไม่เมาง่ายๆ เหมือนประกิต เขาทั้งคู่ดื่มเท่าๆ กัน แต่ประกิตเมามากกว่าหลายเท่า คีรีกล่าวขอโทษหลายครั้งที่ประกิตรบกวนผม และเขาก็ไม่สามารถลากให้เพื่อนกลับไปนั่งโต๊ะได้ พนักงานของร้านเดินผ่านไปมาก็มองเชิงตำหนิ แต่ไม่กล้าตักเตือน คีรีบอกผมว่าพ่อของประกิตค่อนข้างมีอิทธิพล และหากว่าผมมีเรื่องมีราว หรือถูกตำรวจจับในจาฟฟ์นาแล้วล่ะก็ โทรหาประกิตได้ทันที
ประกิตขอเบอร์โทรศัพท์ผมไปและกดหมายเลขโทรเข้าเครื่องของผม เขาบอกให้ผมโทรหาในวันพรุ่งนี้ เขาจะไปรับผมจากโฮสเทลไปกินข้าวที่บ้าน
“แม่ผมทำอาหารอร่อย” คีรีแปลให้ฟัง เขายังเสนอว่ามีสาวๆ จะแนะนำให้รู้จัก
พอเห็นว่าผมไม่มีท่าทีกระตือรือร้นหรือสนใจสาวๆ ศรีลังกาเป็นพิเศษ คีรียิงคำถามว่า “คุณไม่ชอบผู้หญิงศรีลังกา เพราะว่าพวกเธอผิวดำใช่มั้ย?” ผมขอให้เขาพูดว่าผิวคล้ำ ไม่ใช่ผิวดำ คีรียืนยัน “ผิวดำน่ะถูกแล้ว โอเคคุณจะให้คำตอบได้หรือยัง” ผมตอบว่าถ้าสวยก็ชอบ เขาจ้องยิ้มๆ แล้วพูดว่า “คุณไม่ชอบผู้หญิงศรีลังกา เพราะพวกเธอผิวดำ” ผมจนใจ ตอบไปว่า “แล้วแต่จะคิด” แล้วผมก็นึกถึงผู้หญิงศรีลังกาคนนั้นที่เจอในรถไฟระหว่างการโดยสารจากโคลัมโบ-อนุราธปุระ เธอผิวคล้ำแต่สวยมาก ปลายทางของเธอวันนั้นคือ Kankesanturai สถานีเหนือสุดของศรีลังกา
เบียร์ของพวกเขาหมดลง คีรีชวนประกิตกลับ แต่เพื่อนเมาพูดไม่รู้เรื่อง และพูดน้ำลายกระเซ็น ผมนุ่งกางเกงขาสั้นก็รู้สึกได้ว่ากระเซ็นมาโดนแถวหน้าแข้ง 2-3 ครั้ง หมอนี่ยังถ่มน้ำลายลงในกระถางต้นไม้ข้างๆ โต๊ะอีกต่างหาก เขาไม่ยอมกลับและบอกว่าบุหรี่หมด อยากสูบบุหรี่ต่อ คีรีผู้มีเงินมาจากฟินแลนด์บอกผมว่าต้องพาหมอนี่มาเลี้ยงแทบทุกวันตั้งแต่กลับมา แต่วันนี้เงินสดเขาหมดลงแล้ว ประกิตขอให้ผมซื้อบุหรี่ให้ ผมคิดว่าซื้อให้แล้วพวกเขาจะลุกไป แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกเขาอยากดื่มเบียร์ต่อ คีรีขอ Lion เหมือนผม ส่วนประกิตขอ Carlsberg ซึ่งแพงกว่า
ผมเรียกเช็กบิลเพื่อแสดงให้เห็นว่ากำลังจะกลับ ค่าบุหรี่ของประกิต 2,300 รูปี ซึ่งเป็นราคามากกว่าครึ่งของบิล 4,000 รูปีก่อนภาษีและเซอร์วิสชาร์จ ผมไม่รู้เลยว่าบุหรี่ในศรีลังกาจะแพงขนาดนี้ 2,300 รูปีคิดเป็นเงินไทยประมาณ 400 บาท วันต่อมาจึงรู้ว่าราคาของบุหรี่จากร้านจำหน่ายในเมืองจาฟฟ์นาตกซองละ 1,400 รูปี ซึ่งคิดเป็นเงินไทยราว 230 บาท
เหล้าและเบียร์ของศรีลังการาคาถูกกว่าบ้านเราอยู่นิดหน่อย แต่บุหรี่แพงกว่ามาก จึงไม่แปลกใจที่บางร้านมีบุหรี่แบ่งขายเป็นมวน คืนหนึ่งในกรุงโคลัมโบ คนขับตุ๊กๆ ที่ผมชวนไปดื่มสั่งบุหรี่จากบริกรมาสูบให้รางวัลตัวเอง 1 มวน ผมนึกว่าเขาขอ พอถามจึงรู้ว่าซื้อ
เป็นผมที่ลุกออกจากร้านไปก่อน 2 หนุ่มทมิฬ แวะซื้อเบียร์ Lion อีก 1 กระป๋องยาว ระหว่างทางกลับ Yaarl Hostel บนถนน Stanley Rd. ซูเฟียน-หนุ่มจอร์แดนเพื่อนร่วมห้องดอร์มนั่งดื่มเบียร์อยู่แล้วและกำลังสูบพันลำ ชัตติ-หนุ่มทมิฬผู้ดูแลโฮสเทลและควบตำแหน่งครูฝึกในยิมออกกำลังกายเข้ามาสมทบ หมดเบียร์ผมหยิบ Tamnavulin ออกมาจากกระเป๋าเป็นครั้งแรกหลังจากเปิดดื่มที่เมืองนีกัมโบเมื่อราว 10 วันก่อนหน้านี้
ชัตติอาสาไปเอาแก้วจากในครัว ผมขอให้เขาหยิบมาเผื่อตัวเขาเองด้วย แต่เขาหยิบมาเพียง 2 ใบ ผมรินใส่แก้วทั้ง 2 ใบ ประมาณใบละ 2 ช็อต ยื่นใบหนึ่งให้ซูเฟียน เขาจิบแล้วส่งต่อให้ชัตติ บอกว่า "ไอไม่ใช่แฟนวิสกี้" ส่วนชัตติรับไปแล้วซดรวดเดียวหมดแก้ว ผมเกือบพูดออกไปว่า “อย่าดื่มซิงเกิลมอลต์แบบนั้น” แก้วต่อๆ มาเขาก็ดื่มจนแห้งแบบรวดเดียว ทำให้ผมคิดว่าวิสกี้ขวดนี้ไม่น่าจะอยู่จนจบทริปตามแผนที่วางไว้ (และก็เป็นเช่นนั้น คืนต่อมาชัตติซดเอาๆ จนเกลี้ยงขวด)
ก่อนนอนชัตติถามว่าพรุ่งนี้เช้าต้องการกาแฟหรือชา ทั้งผมและซูเฟียนตอบกาแฟเหมือนกัน และเวลาประมาณ 8 โมงเช้า เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ผมหันไปทางเตียงของซูเฟียน เขาไม่ขยับตัว ผมเดินออกไปเปิดประตู ชัตติถือแก้วกาแฟร้อนทั้งมือซ้ายและมือขวา ผมนึกว่าเขาจะเตรียมไว้ในห้องครัว นี่เล่นเสิร์ฟกันถึงเตียงนอนเลยทีเดียว เป็นกาแฟสำเร็จรูปใส่ครีมเทียมและน้ำตาล ผมจำต้องดื่มเพราะรู้แล้วว่าในจาฟฟ์นาหากาแฟดื่มได้ยากเย็นขนาดไหน
เมื่อตอนบ่ายวานนี้ ผมเดินหาร้านกาแฟยังไงก็ไม่เจอ ชัตติแนะนำร้านเบเกอรี่ชื่อ Rolex’s Bake Mart มีขนมปัง เค้ก และเบเกอรี่หลากหลาย รวมถึงกาแฟชงสำเร็จรูปพร้อมดื่มแบบกดจากถังของ “เนสที” หวานจนอยากบ้วนทิ้ง เข้าซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อ Cargills สาขาใกล้ที่พัก มองหากาแฟกระป๋อง แต่ไม่มี ลุง รปภ.เดินมาช่วยหา แกชี้ไปที่สินค้ากล่องขนาด 1 ลิตรเขียนว่า Cold Coffee แต่พอซื้อมาเปิดดื่มที่โฮสเทลก็พบว่าเป็นเพียงนมวัวรสกาแฟ จึงสรุปกับตัวเองได้ว่าถ้าอยากดื่มกาแฟ (แบบที่อยากดื่ม) ก็คงต้องไปที่โรงแรม Jetwing Jaffna เพียงแต่ว่าต้องเดินประมาณ 1 กิโลเมตร
ซูเฟียนตื่นมาดื่มกาแฟแล้วตามผมขึ้นไปยังห้องครัว ชัตติทำทุกอย่างให้พวกเรา ทั้งเตรียมขนมปัง เนย+แยม ทอดไข่เจียว และแล้วเราก็ได้พบกับสตรีผู้ทำให้ซูเฟียนต้องย้ายไปนอนห้องเดียวกับผม เธอเป็นสาวเยอรมัน ผิวขาว ผมสีบลอนด์ ตัวสูง หุ่นออกไปทางอวบ ใบหน้าสวย หน้าอกโต และไม่ใส่ยกทรง คะเนอายุประมาณ 25 ปี
ผมมีขนมปังโฮลเกรนที่ซื้อมาจาก Rolex วานนี้ แบ่งให้เธอครึ่งหนึ่ง นมรสกาแฟยกให้เธอทั้งหมด กล้วยหอมเหลืออยู่ 2 ลูกก็ให้เธอไป เชื่อหรือไม่ เธอฟาดเกลี้ยงทุกอย่าง เห็นเธอกินจุอย่างนี้ก็คิดว่าน่าจะเป็นเด็กกำลังโต ผมต้องเดาอายุใหม่ ไม่แน่เธออาจยังไม่ถึง 20
เคลาเดีย คือชื่อที่ผมเรียกเธอ เป็นชื่ออ้างอิงที่ผมใช้เรียกผู้หญิงเยอรมันผมบลอนด์เกือบทุกคน มาจาก “เคลาเดีย ชีฟเฟอร์” อดีตนางแบบชื่อดัง เธอแปลกใจที่ผมมั่วได้ใกล้เคียง เพราะเคลาเดียเป็นชื่อกลางของเธอ ส่วนชื่อหน้าคือ “ฮันนาห์”
วันนี้ฝนตกลงมาตั้งแต่เช้า แผนการของผมวันนี้คงต้องพับไว้ก่อนจนกว่าฝนจะหยุด ซูเฟียนก็เช่นกัน แต่ไม่ใช่ฮันนาห์ เธอขอร่มจากชัตติออกเดินชมเมือง ภารกิจตามหาร้านกาแฟของผมยังคงล้มเหลวอีกวัน ตอนบ่ายก็ไปลงเอยที่ Rolex’s เหมือนเดิม
มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น วานนี้ผมซื้อขนมปังโฮลเกรน 1 แพ็ก ราคา 100 รูปี กาแฟหวาน 20 รูปี วันนี้แคชเชียร์หนุ่มคิดราคาโฮลเกรนแค่ 65 รูปี ส่วนกาแฟหวานเพิ่มเป็น 50 รูปี วันต่อมาซูเฟียนไปซื้อขนมร้านนี้ เขาบอกว่าแคชเชียร์สำรวจใบหน้าแล้วจึงค่อยคิดเงิน แสดงว่าราคาสินค้าในร้านขึ้นอยู่กับอารมณ์และระดับความพึงพอใจของแคชเชียร์ล้วนๆ
เวลาเกือบ 5 โมงเย็น ฮันนาห์กลับมา เธอแวะทักผมและซูเฟียนที่เปิดประตูห้องเอาไว้ บอกว่าเดินไปโน่นไปนี่มาตั้งหลายที่ เดินไกลหลายกิโล เดินจนเดินไม่ไหวก็เรียกตุ๊กๆ ทำให้ผมและซูเฟียนรู้สึกอับอายที่เป็นชายอกสามศอก แต่มีความกล้าน้อยนิด สู้ผู้หญิงอายุน้อยก็ไม่ได้ ยอมแพ้ให้กับฟ้าฝน ไม่ไปไหนไกลนอกจากหาของกินกับอยู่ในที่พัก
พอฮันนาห์เข้าห้องของเธอไป ผมและซูเฟียนก็มองหน้ากัน ลงความเห็นว่าควรเดินลงไปยังชั้นล่างและออกจากที่พักอย่างเร่งด่วน ส่วนจะไปไหนค่อยตัดสินใจ
ก่อนที่จะถูกเด็กสาวหัวเราะเยาะ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข้าอยากได้อะไร...ข้าต้องได้
เราคนไทยมักจะอ้างว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ มีการบริหารกิจการต่างๆ ภายในประเทศตามหลักการของนิติธรรม แต่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐจริงหรือ
เมื่อ 'ธรรมชาติ' กำลังแก้แค้น-เอาคืน!!!
เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาของบ้านเรา...ท่านเคยคาดๆ ไว้ว่า ฤดูหนาว ปีนี้น่าจะมาถึงประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม
จ่ายเงินซื้อเก้าอี้!
ไม่รู้ว่าหมายถึง "กรมปทุมวัน" ยุคใด สมัยใคร จ่ายเงินซื้อเก้าอี้ ซื้อตำแหน่ง ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ตามที่ "ทักษิณ ชินวัตร" สทร.แห่งพรรคเพื่อไทย ประกาศเสียงดังฟังชัดในระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครนายก
ช่วงเค้าลางคดีสำคัญของนายกรัฐมนตรีก่อตัวในดวงเมือง
ขอพักการทำนายเค้าโครงชีวิตคนปี 2568 ไว้ชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิวที่รออยู่คือท่านที่ลัคนาสถิตราศีตุล
ไม่สนใจใครจะต่อว่า เสียงนกเสียงกา...ข้าไม่สนใจ
ถ้าหากเราจะบอกว่านายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีเสียงตำหนิ มีการนำเอาการพูดและการกระทำที่ไม่ถูกไม่ต้อง ไม่เหมาะไม่ควร
จาก 'น้ำตา' ถึง 'รอยยิ้ม' พระราชินี
ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา...ได้อ่านข่าวพระราชาและพระราชินีสเปน เสด็จฯ ทรงเยี่ยมเยียนผู้คนที่ประสบภัยน้ำท่วมในเมืองปอร์ตา แคว้นบาเลนเซีย