สงครามการค้าสหรัฐ-จีนสมัยไบเดนกำลังก่อตัว

เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ไมรอน บริลเลียนท์ (Myron Brilliant) จากหอการค้าสหรัฐ เผยว่ารัฐบาลไบเดนกำลังพิจารณาขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ด้วยเหตุผลจีนไม่ซื้อสินค้าสหรัฐมากพอตามสัญญาที่ทำไว้ และรอบนี้จะไม่ขึ้นภาษีสินค้าจีนเพียงลำพังแต่จะร่วมมือกับชาติพันธมิตรช่วยกันกดดันจีน ความร่วมมือนี้จะลงลึกถึงระดับบริษัทเอกชน

ภาพ: คำขวัญ “ซื้อสินค้าอเมริกัน จ้างแรงงานอเมริกัน” สมัยรัฐบาลทรัมป์ ที่มา: https://www.wpr.org/shows/how-trumps-buy-american-hire-american-order-will-affect-economy

ย้อนรอยสมัยทรัมป์:

สมัยประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวเสมอว่า สินค้าจีนเป็นเหตุให้คนอเมริกันตกงาน หลายบริษัทปิดกิจการ จึงทำสงครามการค้าด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนหลายระลอก บางรายการขึ้นถึง 25% ในที่สุดปี 2020 จีนกับสหรัฐบรรลุข้อตกลง Phase One จีนสัญญาว่าจะนำเข้าสินค้าอเมริกามากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตร พลังงาน แต่จนบัดนี้จีนซื้อเพียง 60% ของจำนวนที่ตกลงกันไว้ รัฐบาลไบเดนจึงชี้ว่าตนมีความชอบธรรมที่จะคงอัตราภาษีเท่าเดิมและกำลังคิดหามาตรการเล่นงานจีนเพิ่มอีก

ไมรอน บริลเลียนท์ ย้ำว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเรียนรู้ว่าหากหวังกดดันจีนต้องทำร่วมกับประเทศอื่น บริษัทนานาชาติโดยเฉพาะยุโรปกับเอเชียจึงจะมีประสิทธิภาพ

การที่นโยบายลงลึกถึงระดับเอกชนบริษัทต่างชาติเป็นแนวทางที่รัฐบาลไบเดนมุ่งเน้น ถ้าวิเคราะห์ด้วยหลักการแบ่งขั้วสามารถตีความว่า รัฐบาลสหรัฐพยายามสร้างขั้ว แบ่งขั้วลงลึกถึงระดับเอกชนของทุกประเทศ

สงครามการค้านี้กระทบภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกโดยตรง เป็นส่วนหนึ่งของการจัดระเบียบเศรษฐกิจภายใต้กรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF) คาดว่าสหรัฐจะมุ่งติดต่อซื้อขาย มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับพันธมิตร มิตรประเทศ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์แบ่งขั้ว

ปัญหาขาดดุล:

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ปีที่แล้ว (2021) ประเทศขาดดุลการค้าถึง 859,100 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 27% เนื่องจากนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นมหาศาลถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการอัดฉีดเงินช่วยเหลือเยียวยา 6 ล้านล้านดอลลาร์ของรัฐบาล ประชาชนนำไปจับจ่ายซื้อสินค้า แม้การส่งออกเพิ่มขึ้นด้วยแต่ยอดรวมขาดดุล คาดว่าจะเป็นเช่นนี้อีกระยะจนกว่าสถานการณ์โรคระบาดจะคืนสู่ปกติ

กรณีจีน สหรัฐขาดดุลจีน 355,300 ล้านดอลลาร์ (41% ของยอดขาดดุลการค้า) เพิ่มจาก 310,300 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2020 เป็นหลักฐานว่าคนอเมริกันยังนิยมซื้อสินค้า MADE IN CHINA การเลี่ยงไปซื้อชิ้นส่วนวัตถุดิบประเทศอื่นๆ ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี

ปัญหาขาดดุลการค้าเป็นส่วนหนึ่งทำให้ยอดหนี้สาธารณะอเมริกาสูงเกิน 30 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว เพียง 2 ปีเศษนับจากปลายปี 2019 ที่โควิด-19 เริ่มระบาดรัฐบาลอเมริกันกู้เงินถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ นับวันสหรัฐมีลักษณะเป็น “รัฐสวัสดิการ” มากขึ้น โควิด-19 เร่งให้เร็วขึ้น ไม่ว่ารัฐบาลที่มาจากรีพับลิกันหรือเดโมแครตต่างกู้เงินมหาศาลเพื่อเป็นสวัสดิการช่วยเหลือเยียวยา

หลัก free and fair:

ปลายเดือนกรกฎาคม 2018 รัฐบาลทรัมป์กับอียูสร้างข้อตกลงการค้าใหม่ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า “เป็นวันสำคัญของการค้าเสรีและเป็นธรรม” (free and fair trade) เป็นหลักการใหม่แตกต่างจากแนวทางในอดีต

ซิกมาร์ กาเบรียล (Sigmar Gabriel) อดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศเยอรมนีกล่าวว่า นับจากปี 1945 (หลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2) เป็นต้นมา รัฐบาลสหรัฐพร่ำบอกให้สร้าง “ระเบียบเสรีนิยม” (liberal order) เพื่อใช้หลักนี้แทนกฎแห่งป่า (law of the jungle-ใครดีใครอยู่) ผลคือได้ระเบียบโลกใหม่ที่มีสหรัฐเป็นแกนนำ ในการนี้สหรัฐช่วยฟื้นฟูยุโรปที่เสียหายหนักจากสงคราม แต่ทั้งนี้เพราะสหรัฐเห็นว่าความมั่นคงของยุโรปเป็นผลประโยชน์แก่ตน

บัดนี้สหรัฐถอยห่างจาก “ระเบียบเสรีนิยม” ที่สร้างขึ้นมาเองกับมือ พยายามกีดกันการค้าเสรีด้วยเหตุผลทำให้ตนขาดดุลมหาศาล

โทมัส เดอโนฮวย (Thomas Donohue) ประธานหอการค้าสหรัฐเมื่อปี 2016 ให้ความเห็นว่าภายใต้ระบบเศรษฐกิจโลก การค้าระหว่างประเทศช่วยเพิ่มการจ้างงาน ขยายกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่งเสริมการแข่งขัน สหรัฐต้องการการค้าเสรี ไม่ใช่ลดการค้าเสรี

มิถุนายน 2018 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนรัฐบาลทรัมป์ว่าการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจะทำลายระบบการค้าโลก หากตอบโต้ไปมาระบบการค้าโลกจะถอยห่างจากการค้าที่เปิดกว้าง ยุติธรรม อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ สุดท้ายทุกประเทศเสียหาย เศรษฐกิจอเมริกาจะเสียหายด้วย

มีผู้ที่เห็นต่างจากรัฐบาลทรัมป์อีกมาก แต่ทรัมป์ยืนยันเดินหน้านโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าหลายประเทศหลายรายการโดยเฉพาะสินค้าจากจีน

ล่าสุดมีข้อมูลว่าสินค้าจีนมูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลไบเดนคงอัตราภาษีเท่าสมัยทรัมป์

คาดว่ารัฐบาลไบเดนจะยึดนโยบายขึ้นภาษีสินค้าจีน รอบนี้จะหนักกว่าเดิมหากกดดันให้นานาชาติลงลึกถึงบริษัทเอกชนทั่วโลกร่วมกันกดดันจีน นี่คือการจัดระเบียบเศรษฐกิจโลกของรัฐบาลอเมริกัน

ใครเสียประโยชน์ คนอเมริกันคือผู้จ่าย:

ดังที่เคยอธิบายว่าผู้บริโภคอเมริกันเป็นผู้จ่ายค่าภาษีเหล่านี้ ต้องซื้อในราคาสูงขึ้น และหากสินค้าที่ว่าคือชิ้นส่วนวัตถุดิบที่บริษัทเอกชนอเมริกันนำเข้าย่อมทำให้ต้นทุนสินค้าที่ผลิตสูงขึ้นด้วย ดังนั้นผลเสียจากการขึ้นภาษีสินค้าจีนจึงตกแก่คนอเมริกัน ผู้ประกอบการในอเมริกาโดยตรง

ในสมัยทรัมป์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีนเตือนสหรัฐว่าสงครามการค้าจะทำให้กรรมกรและชาวนาอเมริกันเจ็บปวด เป็นการทำร้ายตัวเอง

ทางเลี่ยงที่น่าจะเป็นไปได้คือคนอเมริกันหันไปซื้อกินซื้อใช้สินค้าประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่มาจากจีน แต่สถิติล่าสุดชี้ว่าสหรัฐยังคงนำเข้าสินค้าจีนต่อเนื่อง ไม่ว่าจะซื้อเพราะราคา คุณภาพ รสนิยมหรืออะไรก็แล้ว ได้พิสูจน์แล้วคนชาวอเมริกันนิยมสินค้าที่ผลิตจากจีน

ต้นทุนที่สูงขึ้นของภาคเอกชนเป็นข้อจำกัดการขึ้นภาษีสินค้าจีน สตีฟ ลามาร์ (Steve Lamar) ประธานสมาคม American Apparel and Footwear Association เป็นอีกคนที่กล่าวว่าสภาพเศรษฐกิจขณะนี้ที่อ่อนแอ ผลจากโรคระบาดโควิด-19 ปัญหา supply chain อัตราเงินเฟ้อพุ่ง ฯลฯ ไม่เหมาะขึ้นภาษีสินค้าจีน

ล่าสุด หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี ประธานาธิบดีไบเดนแถลงว่าการลดราคาสินค้าที่เกิดจากเงินเฟ้ออันเนื่องจากโรคระบาดเป็น 1 ใน 2 นโยบายสำคัญของรัฐบาล เห็นชัดว่ามีข้อจำกัดหากรัฐบาลจะเพิ่มราคาสินค้าด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากจีน

นานาชาติพยายามลดภาษีต่อกันตามหลักการค้าเสรี คลายข้อจำกัดต่างๆ แต่รัฐบาลสหรัฐไม่ว่าจะมาจากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครตกำลังทำตรงข้าม ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าหลายประเทศตามหลักการใหม่ที่เรียกว่า “free and fair” แต่หลักการนี้มีจุดอ่อนในตัวเอง รัฐบาลสหรัฐควรเอ่ยปากยอมรับว่าการขึ้นภาษีสินค้าจีนเท่ากับทำร้ายประชาชน เป็นตัวถ่วงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ในอีกมุมมองชี้ว่าคนอเมริกันจำนวนมากมีนิสัยบริโภคเกินตัว หลายคนซื้อบ้านเพราะไม่ต้องมีเงินดาวน์ ผ่อนน้อยผ่อนนาน และพวกเขาคาดหวังว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะสูงขึ้น และทันทีที่ราคาบ้านสูงขึ้นพวกเขาจะยื่นขอรีไฟแนนซ์เพื่อกู้เพิ่มเติม แต่แทนที่จะนำเงินมาเพิ่มมูลค่าของบ้าน กลับนำเงินกู้ที่ได้มาไปซื้อสินค้าต่างๆ รวมทั้งสินค้าต่างประเทศ

ในสมัยรัฐบาลทรัมป์ สหรัฐประกาศทำสงครามเศรษฐกิจกับจีน โยนความผิดเรื่องขาดดุลการค้า ขาดดุลงบประมาณแก่จีน ยึดหลัก “free and fair” ที่ห้ามประเทศใดเกินดุลสหรัฐ หาไม่แล้วจะถูกคว่ำบาตร (แต่ไม่ห้ามหากสหรัฐจะเกินดุลประเทศอื่น) บัดนี้รัฐบาลไบเดนจากพรรคเดโมแครตกำลังดำเนินนโยบายแนวทางเดียวกับทรัมป์ และอาจรุนแรงหนักหน่วงกว่าเดิมหากกดดันให้บริษัทเอกชนนานาชาติต้องร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐกดดันจีน

ณ ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่านโยบายเศรษฐกิจของไบเดนต่อจีนกำลังปรับเปลี่ยนเป็นอย่างไร คาดว่าจะชัดเจนยิ่งขึ้นในอีกไม่กี่เดือนหรือไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เป็นสถานการณ์ที่ควรติดตาม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

2024สงครามกลางเมืองซีเรียระอุอีกครั้ง

สงครามกลางเมืองที่ดำเนินมาเกือบ 14 ปียังไม่จบ สาเหตุหนึ่งเพราะมีรัฐบาลต่างชาติสนับสนุนฝ่ายต่อต้านกับกลุ่มก่อการร้าย HTS เป็นปรากฏการณ์ล่าสุด

ฮิซบุลเลาะห์-อิสราเอลจากเริ่มรบสู่หยุดยิง

ถ้าคิดแบบฝ่ายขวา อิสราเอลที่หวังกวาดล้างฮิซบุลเลาะห์ การสงบศึกตอนนี้ไม่บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ และฮิซบุลเลาะห์กำลังเปลี่ยนจุดยืนหรือ

เส้นทางสายไหมตะวันออกแห่งศตวรรษที่21

BRI จะเป็นแค่การพัฒนาร่วมหรือเป็นยุทธศาสตร์ครองโลกของจีนเป็นที่ถกแถลงเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรนานาชาติเฝ้าติดตาม จริงหรือเท็จกาลเวลาจะให้คำตอบ

ท่าทีความมั่นคงของเนทันยาฮู2024 (2)

เนทันยาฮูย้ำว่า อิสราเอลหวังอยู่ร่วมกับนานาชาติโดยสันติ แต่กระแสโลกต่อต้านอิสราเอลส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมของอิสราเอล นโยบายกับความจริงจึงย้อนแย้ง

เลือกตั้งสหรัฐ2024เลือกสังคมนิยมหรือฟาสซิสต์

ทรัมป์ชี้ว่าแฮร์ริสเป็นพวกสังคมนิยม ส่วนแฮร์ริสชี้ว่าทรัมป์เป็นเผด็จการ สหรัฐกำลังเข้าสู่การเลือกระหว่าง “สังคมนิยม” กับ “ฟาสซิสต์”