ถึงเวลาต้องมองหา...ความปกติแบบใหม่!!!

เจอกับ เตี้ยนหมู่ เข้าไปหนึ่งดอก...ช่วงปลายๆ เดือนกันยาฯ ที่ผ่านมา พอช่วงกลางๆ เดือนตุลาฯ ก็ดันต้องเจอกับ คมปาซุ เข้าไปอีกดอก ก็เลยต้องถือเป็นเรื่องปกติ-ธรรมดา ที่บรรดาทวยไทยจำนวนไม่น้อย พี่ๆ-น้องๆ ของหมู่เฮาทั้งหลาย เลยต้องตกน้ำป๋อมแป๋ม ต้องรอคอยและลอยคอ อยู่ท่ามกลางกระแสน้ำที่หลากไหล ล้นเอ่อ และรอระบาย อันเนื่องมาจาก พายุ ในแต่ละลูกนั่นแล...

แต่ก็นั่นแหละ...เห็นว่านับจากนี้ ก็น่าจะเริ่มซาๆ ลงไปตามลำดับ ตามการคาดการณ์ การพยากรณ์อากาศ ของกรมอุตุฯ ทั่น แต่คงไม่ถึงกับหายวับไปกับตา ยังคงออกฤทธิ์ ออกเดช กันไปเป็นระยะๆ เพียงแต่อาจจะลดน้อย ถอยลง กว่าที่เคยเป็นมา โดยจะมี ความหนาว เริ่มเข้ามาแทนที่กันมั่งแล้ว อันเนื่องมาจากความกดอากาศสูงจากเมืองจีนเขานั่นแหละ 

ที่ได้เวลาย้อยไป-ย้อยมา แผ่ลงมาครอบคลุมแถบๆ ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านเรา โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป ชนิดอาจทำให้ น้ำค้างแข็ง ขึ้นมาในบางเขต บางพื้นที่ บางจังหวัด ใครที่เปิดช่องฟรีซตู้เย็นแล้วยังไม่ถึงกับสะใจ ไม่ถึงกับ มันซ์ซ์ซ์ ในอารมณ์ซักเท่าไหร่ ก็อาจได้เวลาเชียงใหม่ แซนด์บ็อกซ์ เชียงราย แซนด์บ็อกซ์ หรือแม่ฮ่องสอน แซนด์บ็อกซ์ ฯลฯ กันไปตามสภาพ...

แล้วเห็นว่าอีกเดือน-สองเดือนข้างหน้า...รัฐบาลท่านคงอนุญาตให้ สุราเมระยะ-มัชชะ-ปะมาฯ แบบชนิดมากันเป็นระยะๆ ได้มั่ง คืออนุญาตให้ รินหนา-ปัญญาเกิด พอที่จะแอ่นเหล้า แอ่นยา หรือแอ่นไวน์ ในภัตตาคาร ร้านอาหาร ได้ตามแบบเดิมๆ โดยระหว่างแอ่นไป-แอ่นมา จะ ฟุ้งกระจาย กันไปถึงขั้นไหน อันนั้น...คงต้องไป รับผิดชอบ กันเอาเอง ไม่ต่างไปจากการทำ หัตถการ ตั้งแต่ช่วงต่ำกว่าเอวลงไป ก็คงไม่ต้องเสียเวลา เอาไม้เขี่ย (เว้นระยะห่างประมาณ 2 เมตร ตามคำแนะนำของหมอ-ยง) อีกต่อไปแล้ว ส่วนจะก่อให้เกิดผลตามมาแบบไหน อย่างไร ถึงขั้นอาจต้องถูกจับไปรวมกับตัวเลข จำนวน ผู้ติดเชื้อ ที่ยังคงรักษาระดับสถิติ ตกประมาณวันละเป็นหมื่นๆ หรือไม่ ประการใด ก็คงต้องถือเป็น เรื่องของมึง ที่จะยกการ์ด ปล่อยการ์ด หรือจะจรดรูปมวยกันในลักษณะไหน...

แต่โดยสรุปเอาเป็นว่า...ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนต่อประเทศไหน มันคง อั้นไม่อยู่ อีกต่อไปแล้ว ยิ่งโดยเฉพาะประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่ต้องพึ่งพาแรงยุ แรงเชียร์ จาก รัสเซลล์ โครว์ และคุณน้อง ลิซ่า ฯลฯ หรือต้องพึ่งพารายได้จาก นักท่องเที่ยว ชนิดกลายเป็น รายได้หลัก ระดับปาเข้าไปถึง 16 เปอร์เซ็นต์ของตัวเลขจีดีพี หรือของผลิตผลมวลรวมประชาชาติเอาเลยถึงขั้นนั้น และไม่ใช่แต่เฉพาะพวกที่ชอบไปดูน้ำค้างแข็ง ไปดูพ่อคะน้า แม่คะนิ้ง หรือไม่ใช่แต่เฉพาะบรรดานักท่องเที่ยวไทยเท่านั้น ที่ก่อให้เกิดรายได้ประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเท่านั้นเอง แต่หนักไปทางนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประเภทบรรดาคนจีนที่ชอบมาขี้ใส่วัดร่องขุ่นของอาจารย์ เหลิม (เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์) หรือไม่ก็นักท่องเที่ยวฝรั่ง ที่ชอบเข้ามาฟูลมูน ปาร์ตี้ ซี-แซนด์-ซันตลอดไปจนถึงเซ็กซ์ ฯลฯ ที่ก่อให้เกิดรายได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของตัวเลขจีดีพี หรือประมาณ 61 เปอร์เซ็นต์ของรายได้การท่องเที่ยวทั้งมวลนั่นเอง...

การเปิดบ้าน เปิดเมือง เปิดประเทศ...เพื่อต้อนรับบรรดานักท่องเที่ยวเหล่านี้ จึงกลายเป็น ข้อเสนออันมิอาจปฏิเสธได้ เพียงแต่ว่าเมื่อเปิดแล้ว บรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลาย จะแห่มาเยี่ยมเมืองไทย อย่างที่คุณน้า รัสเซลล์ โครว์ ท่านอุตส่าห์ออกแรงยุ แรงเชียร์ เอาไว้ชนิดอย่างเต็มสูบ เต็มด้าม หรือไม่ อย่างไร อันนี้...นี่แหละ ที่คงต้องคิดๆ เอาไว้ก่อนล่วงหน้า เพราะแม้ว่านักท่องเที่ยวจีน จะเต็มไปด้วยแรงกระตุ้น แรงปรารถนา ที่จะมา ขี้ใส่ วัดร่องขุ่น ของ อาจารย์เหลิม มากหรือน้อยเพียงใดก็ตามที แต่เมื่อหันไปมองตัวเลขจีดีพีของจีน โดยเฉพาะในช่วง ไตรมาส 3 ของปีนี้ ที่หล่นจากการประมาณการลงมาถึง 3 เปอร์เซ็นต์ หรือจาก 7.9 เปอร์เซ็นต์ เหลือแค่ 4.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อันเนื่องมาจากเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ อย่างน้อย...ก็อาจก่อให้เกิดการอั้นขี้-อั้นเยี่ยว กันไปตามสมควร หรือมันคงไม่อาจสร้างรายได้ในแบบเดิมๆ ไม่อาจช่วยให้แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง หวนกลับเป็น ปกติ ได้มากมายซักเท่าไหร่นัก...

เช่นเดียวกับบรรดานักท่องเที่ยวฝรั่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นอเมริกันชน หรือชาวยุโรป ที่น่าจะโหยแห้ง เหี่ยวปลาย ไม่ต่างไปจากกันและกันซักเท่าไหร่ โดยเฉพาะฝรั่งอเมริกันนั่นแหละ...น่าจะหนักหน่อย!!! เพราะถ้าว่ากันตามตัวเลขประมาณการของ IMF ขณะที่ตัวเลขจีดีพีตลอดทั้งปีของจีน จาก 8.1 เปอร์เซ็นต์ อาจลดลงมาเหลือประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ หรือลดลงมาประมาณ 0.1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แต่สำหรับอเมริกันชนแล้ว จากที่เคยประมาณการเอาไว้ประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ น่าจะลดฮวบๆ ฮาบๆ ลงมาเหลือแค่ 6 เปอร์เซ็นต์ หรือลดไปประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์เต็มๆ โอกาสที่จะเกิดแรงกระตุ้น แรงจูงใจ ในการฟูลมูน ในการซี-แซนด์-ซัน-และเซ็กซ์ ฯลฯ มันคงต้องลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ คงไม่อาจกระเหี้ยนกระหือรือ หื่นแล้ว หื่นอีก ได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะควักจ่ายเป็นดอลลาร์ หรือยูโร ฯลฯ ก็ตามที...

อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องเก็บมาคิดหน้า-คิดหลัง ให้มากๆ เข้าไว้ ว่าเมื่อจำเป็นต้องเปิด ถึงเวลาต้องเปิด ควรจะเปิดกันแบบอ้าซ่า แบบแบแล้ว แบอีก หรือจะเปิดกันแบบประเภท ทำอะไรทำเถิดอย่าเปิ๊ดผ้า-ทำอะไรไม่ว่าผ้าอย่าเปิ๊ด ประมาณนั้น คือต้องพยายามบันยะบันยังในแต่ละเรื่อง แต่ละกรณี เพื่อให้มันเกิดความรัดกุม หรือความสมดุล ขึ้นมาได้แบบจริงๆ จังๆ จะมัวแต่ไป พึ่งพา เศรษฐกิจโลก แบบเต็มๆ เนื้อๆ แบบล้วนๆ ไม่น่าจะได้อีกต่อไปแล้ว อย่างน้อย...ก็น่าจะเริ่มต้นมองหาหนทางอันนำไปสู่ New Normal หรือหาทางสร้าง ความปกติแบบใหม่ ขึ้นมาให้ทันการณ์ ทันเวลา ย่อมดีกว่าปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ล่มสลาย ลงไปต่อหน้า-ต่อตา...

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้...จาก John Gray... “The process of learning requires not only hearing and applying, but also forgetting and then remembering again. - กระบวนการเรียนรู้นั้น...มิใช่แค่มีแต่ฟังหรือนำไปปรับใช้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการพร้อมที่จะลืมและพร้อมที่จะจดจำอีกด้วย...”

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ว่ากันไปเรื่อยๆ!!!

เห็นว่า...ตั้งแต่สัปดาห์หน้า วันที่ 1 มิ.ย. บรรดา ขาเฮ และ ขาหื่น ทั้งหลาย

ว่าด้วย...อนาคตของ “บิ๊กตู่”

หมู่นี้รู้สึกว่า...เสียงด่า เสียงทอ ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮา น่าจะซาๆ ไปพอสมควร จะด้วยเหตุเพราะใครต่อใครหันไปสนใจเรื่องอื่น