ในวันทหารผ่านศึก สื่อมวลชนถามนายกรัฐมนตรีว่ายังสู้อยู่หรือเปล่า คงถามด้วยความเป็นห่วง เพราะนายกรัฐมนตรีทำงานหนัก
บางครั้งเราก็เห็นท่านเหมือนคนที่เหนื่อย เพราะความเป็นคนขยันที่ทำงานทุกวัน และหลายชั่วโมงในแต่ละวัน ไม่ใช่การทำงานอยู่กับที่ แต่ต้องมีการเดินทางไปโน่นไปนี่ ทั้งใกล้และไกล
นายกรัฐมนตรีไม่ได้ตอบตรงๆ ว่าท่านยังสู้อยู่หรือไม่ ท่านตอบด้วยคำถามว่า “วันนี้วันอะไร” เป็นคำถามที่ท่านถามสื่อมวลชนในวันทหารผ่านศึก
ซึ่งทำให้เราสามารถตีความได้ว่าท่านยังสู้อยู่ และสำหรับคนที่เห็นงานทำงานของท่านที่มุ่งมั่น จริงจัง จริงใจ โปร่งใส ซื่อสัตย์ มุ่งมั่นพัฒนา แก้ปัญหาของประเทศชาติด้วยความศรัทธาและภักดีต่อสถาบันหลักของประเทศ ทั้งชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ก็อยากเอาใจช่วย และดีใจที่ท่านแสดงท่าทีว่าใจท่านยังสู้ไม่ถอย และท่านพูดชัดเจนว่าเวลานี้ยังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี และจะยังไม่ยุบสภา
แม้ว่าเราจะดีใจในการได้ยินคำตอบของนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อมองไปยังปัจจัยต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของเสถียรภาพของรัฐบาลแล้ว อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะมีเรื่องที่อาจจะส่งผลเชิงลบให้กับเสถียรภาพของรัฐบาลอยู่หลายปัจจัย มีทั้งปัจจัยภายในพรรคร่วมรัฐบาล และปัจจัยภายนอกรัฐบาลที่มีทั้งนักการเมืองฝ่ายค้าน คนแดนไกลที่ยังคงไม่เลิกยุ่งกับประเทศไทย นักวิชาการที่มีทั้งพวกที่ต้องการช่วยฝ่ายค้านล้มรัฐบาล และพวกที่เป็นแนวร่วมของกลุ่มนักการเมืองที่มุ่งล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ สื่อมวลชนที่เลือกข้างที่จะช่วยฝ่ายค้านล้มรัฐบาล จะเป็นเพราะนิยมชมชอบอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคฝ่ายค้าน หรือจะเป็นเพราะผลประโยชน์ใดๆ ก็ตาม และยังมีกลุ่มบุคคลที่เคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชนในหลากหลายรูปแบบ บางคนก็เป็นพวกล้มสถาบัน บางคนก็เป็นแกนนำของกลุ่มผู้ชุมนุมในอดีต บางคนก็เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมยุคใหม่ รวมทั้งกลุ่มเยาวชนทั้งหลายที่เรียกตัวเองว่าเป็นกลุ่มประชาธิปไตยที่ต้องการปลดแอก
สำหรับภายในพรรคร่วมรัฐบาลเอง หลังจากการหาเสียงที่กระทบกระทั่งกันในการเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่ต่างๆ นั้น พวกเขาจะยังคงขึ้นรัฐนาวาเดียวกันได้อย่างสนิทใจหรือไม่ จะยังคงทำงานร่วมกันแบบบูรณาการหรือไม่ จะมีการขัดแข้งขัดขากันหรือไม่ และมีวัฒนธรรมในการทำงานการเมืองแบบแทงกันข้างหลังหรือไม่ เรื่องนี้ประชาชนที่ยังต้องการให้นายกรัฐมนตรีเดินหน้าพัฒนาประเทศรู้สึกเป็นห่วง เพราะแกนนำของพรรคบางพรรคออกมาพูดชัดเจนว่า ในเมื่อมีการหาเสียงที่มีการต่อว่าต่อขานกันแบบนี้ เห็นทีจะทำงานด้วยกันยาก
พรรคพลังประชารัฐที่เป็นพรรคซึ่งนำเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีท่าทีที่เป็นปัญหากับนายกรัฐมนตรีแบบไม่มีทีท่าประนีประนอมหรือลดราวาศอกให้กัน ท่าทีของความขัดแย้งที่ไม่ยอมกันยังมีให้เห็น และพรรคนี้ก็ยังมีกลุ่มแตกแยกเป็นมุ้งหลายๆ มุ้ง แต่ละมุ้งก็มีพวกตั้งแต่ 1 คนขึ้นไปจนถึงกว่า 10 คน เมื่อเห็นภาพมุ้งทั้งหลายเหล่านี้แล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า แล้วภายในพรรคของเขามีเอกภาพแต่ไหน แก่งแย่งอะไรกันบ้าง มีการอ้างจำนวนคนในมุ้งมากำหนดโควตาของตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่ เราไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านมาขนาดนี้แล้วทุกมุ้งพอใจในตำแหน่งรัฐมนตรีที่มุ้งของตนได้มาหรือไม่ ยังมีการร้องขอต่อรองกันอีกหรือไม่ เพราะที่เราเห็นก็คือ มีกลุ่มที่ “ขอ” ให้พรรคช่วยลงมติขับไล่พวกของตนออกจากพรรค เพื่อไปสังกัดพรรคใหม่ ไม่ต้องเสียสถานะของการเป็น ส.ส. และสมาชิกของพรรคก็ยินยอมพร้อมใจในการลงคะแนนเสียงขับไล่พวกเขาออกจากพรรค ซึ่งเวลานี้เราไม่อาจจะคาดเดาได้ว่าพวกเขาทั้งหมด 21 คนนั้นยังจะสนับสนุนนายกรัฐมนตรีต่อไป หรือจะไปรวมกับฝ่ายค้าน
ฝ่ายค้านหนึ่งพรรคก็กระหายอำนาจ อยากให้มีการเปลี่ยนขั้วให้ตัวเองได้เป็นรัฐบาล แซะ แขวะ ด่า ด้อยค่ารัฐบาลมาตลอด 2 ปีกว่า น่าจะเป็นไปตามใบสั่งของนายใหญ่ที่หวังว่าถ้าหากลิ่วล้อจัดตั้งรัฐบาลได้ ตนเองก็จะได้กลับประเทศไทยโดยไม่ต้องติดคุก เปิดสภาวันใด จะต้องมีการยื่นอภิปรายรัฐบาลทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายที่มีการลงคะแนนได้หรือลงคะแนนไม่ได้ ผ่านมา 2 ปีกว่าแล้วประชาชนยังไม่เห็นผลงานที่พวกเขาทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน เห็นแต่ความพยายามที่จะเอานายกรัฐมนตรีลงจากอำนาจให้ได้ ไม่ว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็จะโยงว่าเป็นความผิดของนายกรัฐมนตรีทั้งนั้น และจะเรียกร้องให้ท่านลาออกหรือยุบสภา อ้างว่าจะเป็นการแสดงความรักประเทศ เพราะนายกรัฐมนตรีล้มเหลวในการบริหารประเทศ สร้างความเสียหายให้ประเทศมากมาย จนป่านนี้ก็ยังหาเรื่องที่จะอ้างเป็นความผิดเชิงประจักษ์ของนายกรัฐมนตรีขั้นร้ายแรงที่สมควรลาออกยังไม่ได้ เพราะข้อกล่าวหาที่ผ่านมาเป็น “นามธรรม” ที่นำมาสร้างวาทกรรมเพื่อด้อยค่านายกรัฐมนตรีแบบไม่มีมูลแทบทั้งสิ้น ตอนนี้ก็เลยมาเล่นเกมทำสภาล่ม โดยอ้างว่าไม่มีหน้าที่ปั้นองค์ประชุมให้รัฐบาล (ส.ส.ซีกรัฐบาลควรฟังและสำเหนียกเรื่องนี้ไว้ด้วยนะ ควรรับผิดชอบในการเข้าร่วมประชุม)
พรรคฝ่ายค้านอีกฝ่ายหนึ่งก็ตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ ด้วยการด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และพวกเขามองว่านายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นอดีตผู้บังคับบัญชาทหารมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน และเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ค้ำบัลลังก์อย่างเข้มแข็ง ดังนั้นถ้าหากต้องการให้บรรลุเป้าหมายทางการเมืองจะต้องเอานายกรัฐมนตรีคนนี้พ้นจากตำแหน่งให้ได้ สมาชิกของพรรคนี้ ทั้งสมาชิกในปัจจุบัน และที่พ้นไปแล้วเพราะถูกเว้นวรรคทางการเมือง เป็นคนขยันสร้างวาทกรรมมาด้อยค่ารัฐบาล โดยมีนักวิชาการเป็นแนวร่วม มีเยาวชนจำนวนหนึ่งเป็นสาวกออกมาทำกิจกรรมป่วนบ้านป่วนเมือง สร้างความวุ่นวาย สร้างภาพว่าถูกรัฐบาลรังแก หาว่ารัฐบาลทำ “นิติสงคราม” ใช้กฎหมายจัดการกับคนคิดต่าง ไม่ยอมรับว่าพวกตนนั้นคิดชั่ว ทำชั่ว ทำผิดกฎหมาย
สถานการณ์น่าเป็นห่วงมากขึ้น เมื่อกลุ่มคนที่ต้องการล้มนายกรัฐมนตรีมีแนวร่วมเป็นนักวิชาการและสื่อมวลชน สำหรับสื่อมวลชนนั้น ในเวลานี้ก็แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ทั้งฝ่าย “เชียร์ลุง” และฝ่าย “ไล่ลุง” การแตกแยกกันแบบนี้ก็ถือว่าเป็นปัญหาของประเทศแล้ว แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ มีสื่อที่พร้อมจะโกหก ปั้นข่าวเท็จ บิดเบือนความจริงเพื่อช่วยฝ่ายที่ต้องการล้มรัฐบาล มีทั้งที่อยากให้นายใหญ่กลับมาบริหารประเทศ และต้องการล้มล้างสถาบัน สถานการณ์แบบนี้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของรัฐและฝ่าย “เชียร์ลุง” ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นนะคะ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ลัคนาธนูกับเค้าโครงชีวิตปี 2568
ยังอยู่ในช่วงเจ็ดปีของการเปลี่ยนแปลงใหญ่สุขภาพอนามัย-หนี้สิน-ลูกน้องบริวาร และเกือบตลอดปีผู้หลักผู้ใหญ่อวยสถานะ-ยศ-เงินทองให้ แต่มีช่วงซ้อมรับทุกข์และการได้ความผิดที่ไม่ได้ก่อ
ดร.เสรี ลั่นรังเกียจ วาทกรรมแซะสถาบัน
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า เกิดวาทกรรมใหม่ "ใบอนุญาตที่ 2"
เด็กฝึกงาน...ไม่ผ่านโปร
ฉากทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทยหลังจากรู้ผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นภาพที่สร้างความกังวลให้กับคนไทยจำนวนมากที่ไม่ได้เลือกพรรคส้มหรือพรรคแดง
'ความเป็นไทย' กับกรณีน้ำท่วมภาคเหนือ-ภาคใต้
ถึงแม้จะก่อเกิด ถือกำเนิด ที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี...แต่ด้วยเหตุเพราะไปเติบโตที่ภาคใต้ ไม่ว่าเริ่มตั้งแต่อำเภอทุ่งสง จังหวัดหน่ะคอนซี้ทำหมะร่าด ไปจนอำเภอกันตัง
ได้ฤกษ์ 'นายพล' ล็อต 2
ผ่านเดดไลน์ตามคำสั่ง ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ทุกหน่วยส่งบัญชีข้อมูลผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น
'ดร.เสรี' กรีดเหวอะ! ใครมีลูกสาวเก่งพอที่จะเป็นนายกฯ ต้องบอกลูกให้มีผัว 9 คนอยู่ใน 9 ภาค
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า ใครมีลูกสาวที่เก่งพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ต้องบอกลูกนะคะ