ไม่ไว้วางใจกันอีกซะแล้ว!!!

อืมม์ม์ม์...เห็นว่าได้เวลา อภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลกันอีกซะแล้ว!!! ราวๆ กลางเดือนกุมภา.อะไรประมาณนั้น โดยอาจจะแปลกแหวกแนวไปกว่าปกติธรรมดาอยู่มั่ง ตรงที่ถือเป็นอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่ต้องลงมติ หรือถ้าว่ากันแบบชาวบ้านๆ ก็ประมาณถือเป็นจังหวะและโอกาสที่จะ ด่ารัฐบาล ให้หนำอก หนำใจ และหนำปาก ทำนองนั้น...

------------------------------------------------

คือเท่าที่ด่าๆ มาโดยตลอด 2 ปี-3 ปี...ก็คงต้องยอมรับนั่นแหละว่า ในแง่ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของฝ่ายค้าน น่าจะไม่ถึงกับบรรลุเป้าหมายมากมายซักเท่าไหร่ เพราะรัฐบาลท่านยังอยู่ได้แบบเรื่อยๆ-สบายๆ

ไม่ถึงกับนับสิบ นับแปด ก้นเตี้ย คายฟันยาง อะไรมากมายนัก จะด้วยเหตุเพราะอาการป่ายซ้าย-ป่ายขวา ประเภทออกไปทาง มวยวัด ของฝ่ายค้านหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะคิด แต่ถ้าลองย้อนอดีตกลับไปดูเวทีรัฐสภายุคเก่าๆ ก็คงปฏิเสธไม่ได้นั่นแหละว่า บรรดาฝ่ายค้านรุ่นพระเจ้าเหายังใส่กางเกงหูรูดทั้งหลาย ท่านน่าจะด่าเก่ง ด่าแรง หรือเชี่ยวชำนาญในการด่ากว่าฝ่ายค้านยุคนี้ ประมาณซักสี่เท่า-ห้าเท่า เป็นอย่างน้อย...

---------------------------------------------

ยิ่งถ้าหากยุคที่พรรคการเมืองเก่าแก่ อย่างพรรค ประชาธิกัด เขาต้องรับหน้าที่เป็นฝ่ายค้านด้วยแล้ว ยิ่งต้องหรี่แอร์ ต้องปรับอุณหภูมิ ไม่งั้นมีสิทธิ์ขนหัวลุก ขนคอตั้ง กันไปโดยตลอด เพราะแต่ละคน แต่ละราย มีทั้งประเภทปากคม ปากตะไกร ปากคีมคีบ ปากใบมีดโกน ปากปังตอสับหมู ฯลฯ ล้วนแล้วแต่น่ากลัว น่าหวาดหวั่น ขวัญสยอง ไปด้วยกันทั้งสิ้น ชนิดไม่ว่ารัฐบาลใดก็ตาม ถ้าลองต้องเจอกับพรรคฝ่ายค้าน อย่าง ประชาธิกัด ขึ้นมาแล้ว หนีไม่พ้นต้องสวมหมวกกันน็อก สวมเสื้อกันกระสุนไว้ซัก 2 ชั้น-3 ชั้น ยิ่งถ้าหากเป็นยุคที่ท่านประธานรัฐสภาคนปัจจุบัน คุณพี่ ชวน หลีกภัย ของหมู่เฮา ยังหนุ่มฟ้อ หล่อเฟี้ยว เส้นเลือดหัวใจยังสูบฉีดโลหิตอย่างเป็นปกติด้วยแล้ว ยิ่งอาจต้องไปยืมเสื้อเกราะชาวกรีก ชาวโรมัน มาสวมทับเอาเลยถึงขั้นนั้น ไม่งั้นอาจถูกด่าทะลุหน้า ทะลุหลัง เอาง่ายๆ...

-------------------------------------------------

คือเรียกว่า...เล่นเอา ร่วงคาปาก กันไปเป็นรายๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ถึงกับต้องเสียเวลารวบรวมข้อมูล สถิติ กางแผ่นช้ง แผ่นชาร์ต หรือเปิดวิดีโอคอนเฟอร้อง คอนเฟอเรนซ์ เหมือนกับยุคนี้สมัยนี้ แต่อาศัยเพียงแค่ศิลปะ ลีลา ที่แอพพลายและดิเวลลอปเมนต์มาอย่างลงตัว จากบรรดาพวก แม่ค้าปากคลองตลาด ทั้งหลาย ก็เล่นเอาบรรดาพวกรัฐมนตรี รัฐมนโท ที่ถูกจับขึ้นเขียง หรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าจะลงมติ-ไม่ลงมติก็แล้วแต่ ล้วนแล้วแต่ซีดแล้ว-ซีดอีก ปานประดุจไก่ต้มห่อด้วยกระดาษทิชชู่ ปากสั่น มือสั่น ถึงขั้น ไปไม่เป็น เอาง่ายๆ แม้จะไม่ถึงกับไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี-หนีไม่พ้น ก็ตามที...

----------------------------------------------------

อย่างไรก็ตาม...จะไปนำเอา มาตรฐาน ของอดีตฝ่ายค้านยุคก่อน มาเทียบกับฝ่ายค้านยุคนี้ ก็อาจไม่ถึงกับถูกเรื่องกันซักเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุเพราะผู้คนในยุคก่อน-สมัยก่อนนั้น คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า อย่างน้อย...ยังพอหลงเหลือสิ่งที่เรียกว่า หิริ-โอตตัปปะ ติดปลายนวมอยู่มั่งไม่มาก-ก็น้อย หรือยังพอมีความอาย ความละอายต่อบาปอยู่ตามสมควร แม้จะหน้าหนา หน้าด้าน กว่าปุถุชนคนธรรมดาโดยทั่วไปประมาณซัก 3 ส่วน 4 ส่วน ตามแบบฉบับ นักการเมือง ที่จำต้องเกล็ดแตกลายงา มีเขี้ยว มีปีกและมีหาง แถมพ่นไฟได้ด้วย อะไรทำนองนั้น แต่ในแง่ จิตสำนึก หรือ จิตไร้สำนึก ก็ยังพอหลงเหลือสิ่งที่เรียกว่า หิริ-โอตตัปปะ สูงกว่ายุคนี้-สมัยนี้ หลายต่อหลายเท่า...

--------------------------------------------------------

คือจะด้วยเหตุเพราะสภาพแวดล้อม ด้วย กงล้อแห่งกาลเวลา ที่มันหมุนลงไปในทางที่เสื่อม ที่โทรม ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ ประการใด ก็มิอาจสรุปได้ แต่สำหรับสมัยนี้นั้น...ต่อให้คุณพี่ ชวน หลีกภัย มาเอง นั่งไทม์แมชชีน มาจากสมัยหนุ่มๆ กลับมากรีด กลับมาโกนกลับมาเชือด มาเฉือน ในแบบไหน ในลักษณะไหนก็แล้วแต่ โอกาสจะก่อให้เกิดความระคายเคือง ต่อผิวหน้า ผิวหนัง ของผู้คนยุคนี้ หรือนักการเมืองสมัยนี้ น่าจะลำบากเอามากๆ เพราะส่วนใหญ่...ต้องเรียกว่า ด้านอย่างเป็นธรรมชาติ ระดับต่อให้ กระสุนเจาะเกราะ ก็อาจเจาะไม่เข้าเอาเลยถึงขั้นนั้น แค่ทำเฉยๆ ไม่รู้-ไม่ชี้ เดี๋ยวเดียว...ฝ่ายด่านั่นแหละ ที่จะต้องหมดเรี่ยว หมดแรง หมดฤทธิ์เดช ลงไปเอง...

------------------------------------------------------

ดังนั้น...จะไปสรุปว่าฝ่ายค้านยุคนี้ ด่าสู้ฝ่ายค้านยุคก่อนไม่ได้ ก็อาจจะเป็นการ ด่วนสรุป จนเกินไป เพราะคงต้องยอมรับนั่นแหละว่า รัฐมนตรี รัฐมนโทยุคนี้ ท่านค่อนข้าง หนา กว่ายุคก่อนๆ เยอะเลย และดูจะส่งผลให้การ ด่า หรือที่เรียกๆ ให้หะรูหะราขึ้นมาอีกซักหน่อยว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามวิถีทางของรัฐสภา หรือตามครรลองแห่งระบอบการปกครองที่เรียกว่า ประชาธิปไตย มันเลยกลายเป็นสิ่งที่ค่อนข้างไร้ประสิทธิภาพ ไร้ประสิทธิผล อย่างน่าใจหาย!!! หรือกระทั่งทำให้ระบอบการปกครองในลักษณะนี้ ออกจะเป็นอะไรที่เสื่อมโทรม เสื่อมศรัทธา ยิ่งเข้าไปทุกที ชนิดไม่ใช่เฉพาะสังคมไทย แต่ไม่ว่าสังคมไหนๆ ก็เถอะ กระทั่งประเทศแม่แบบ ต้นแบบ การปกครองลักษณะนี้ ต่างออกอาการ เสื่อม ไปด้วยกันทั้งสิ้น

-------------------------------------------------------

อันนี้นี่แหละ...ที่ถือเป็นสิ่งที่น่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย คือมันไม่ใช่แค่ปัญหาในเรื่อง ระบบ-ระบอบ แต่อาจเป็นปัญหาในเรื่องระดับ ศีลธรรม-คุณธรรม ของผู้คนนั่นเอง ที่ถ้าหากสิ่งที่ว่านี้ดันเกิดอาการ เสื่อม ขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าระบบไหนหรือระบอบไหนก็เถอะ อาจ เอาไม่อยู่ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ชนิดอาจต้องหวนกลับไปฟื้นฟูคุณธรรม-ศีลธรรม ความละอายต่อบาปหรืออาจต้องกลับไป เผด็จการโดยธรรม เอาเลยก็ไม่แน่!!!

------------------------------------------------------

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Plato (อีกครั้ง)... “Virtue does not spring from riches, and all other human blessings, both private and public, from virtue.- คุณธรรมมิได้เกิดจากอำนาจและทรัพย์ศฤงคาร หรือการอ้อนวอนขอพรใดๆ คุณงามความดีของมนุษย์ทุกประการไม่ว่าส่วนตัวหรือสาธารณะ มีกำเนิดจาก...คุณธรรม”

---------------------------------------------------------

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ว่ากันไปเรื่อยๆ!!!

เห็นว่า...ตั้งแต่สัปดาห์หน้า วันที่ 1 มิ.ย. บรรดา ขาเฮ และ ขาหื่น ทั้งหลาย

ว่าด้วย...อนาคตของ “บิ๊กตู่”

หมู่นี้รู้สึกว่า...เสียงด่า เสียงทอ ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮา น่าจะซาๆ ไปพอสมควร จะด้วยเหตุเพราะใครต่อใครหันไปสนใจเรื่องอื่น