ปูตินกับเกมพนันสุดโหด ‘รัสเซียนรูเล็ต’ ในวิกฤตยูเครน

แต่จะดำเนินต่อไปหรือไม่? เกมสุดท้ายของประธานาธิบดีปูตินคืออะไร?

นักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศที่จับตาความเคลื่อนไหวและวิธีเดินเกมของปูตินมายาวนานบอกว่า ปูตินมีความสามารถพิเศษในการทำให้คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ในสภาวะตึงเครียดตลอดเวลา

นั่นคือลีลาและท่าทีที่พร้อมจะบุกในจังหวะเวลาและสถานที่ที่ปูตินเป็นฝ่ายกำหนดและเลือกได้

แต่ขณะเดียวกันเขาก็พร้อมจะมีความยืดหยุ่นและเมื่อจำเป็น

นั่นคือคุณสมบัติของนักสู้ในสนามรบเกือบทุกรูปแบบ

แต่นักวิเคราะห์บางสำนักบอกว่า ในกรณียูเครนดูเหมือนปูตินจะยังไม่แสดงว่ามีไพ่อะไรที่เหนือกว่าฝ่ายตรงกันข้าม

บางครั้งดูเหมือนว่าเขาแค่ตอบสนองต่อเหตุการณ์วันต่อวันเท่านั้นเอง จึงเป็นการยากที่จะคาดเดาการเคลื่อนไหวก้าวต่อไปจากเครมลิน

ที่ค่อนข้างจะชัดเจนคือ ปูตินต้องการรักษาไว้ซึ่งอิทธิพลบางส่วน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่ยูเครนทั้งหมดที่พร้อมจะซบอกสหภาพยุโรปหรือนาโต

เพราะถ้าหากรัสเซียปล่อยให้ยูเครนส่วนใหญ่กระโดดไปอยู่กับนาโต นั่นคือฝันร้ายสุดๆ สำหรับปูติน

น่าจะเป็นที่มาของนิตยสาร The Economist ฉบับล่าสุดที่พาดหัวว่าปูตินกำลังเล่นเกมพนันสุดโหดที่เรียกขานกันมาช้านานว่า

Russian Roulette หรือ รัสเซียนรูเล็ต

นั่นหมายความว่า ปูตินจะเดินหน้าสนับสนุนกลุ่มเรียกร้องแยกดินแดนทางตะวันออกของยูเครน

สอดคล้องกับที่นักการเมืองยูเครนสนับสนุนรัสเซียชื่อดังที่ให้สัมภาษณ์ทางทีวีรัสเซียเรียกร้องให้ Donetsk (โดเนตสค์) และ Luhansk (ลูฮันสก์) และภูมิภาคอื่นๆ ทางตะวันออกและใต้ของยูเครนจัดตั้ง “รัฐอิสระ”

ที่เรียกว่า Novorossiya “โนโวรอสซียา” หรือ “รัสเซียใหม่”

คาดเดาไม่ยากว่า "รัฐใหม่” ที่ว่านี้ย่อมภักดีต่อมอสโกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ตามมาด้วยคำถาม เช่น

Novorossiya เป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวของปูตินเพื่อรักษาอิทธิพลส่วนใหญ่ในยูเครนหรือไม่?

หรือโยงกับความช่วยเหลือทางทหารของรัสเซียสำหรับผู้ที่มีความขัดแย้งกับรัฐบาลกลางของยูเครนหรือไม่?

หรือกลยุทธ์ระยะสั้นของรัสเซียเกี่ยวอะไรกับความพยายามที่จะล้มการเลือกตั้งประธานาธิบดีในยูเครนที่กำลังจะเกิดขึ้นใช่ไหม?

รัสเซียอ้างเหตุผลที่ต้องสนใจปัญหาในยูเครน เพราะมีการละเมิดสิทธิของประชาชนที่พูดภาษารัสเซียในประเทศยูเครนจำนวนสูงมาก โดยจะมีจำนวนหลายล้านคน

มอสโกอ้างว่าผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิเช่นนี้ในยูเครนมีสัดส่วนที่สูงอย่างน่ากังวล

รัสเซียบอกว่าทางการของยูเครนได้นำกฎหมายการเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับภาษา การศึกษา ที่เรียกว่า "ชนพื้นเมือง" แทนที่ภาษารัสเซียในทุกด้านของชีวิต ในเดือนสิงหาคม 2564

อีกทั้งยังกล่าวหาว่าประธานาธิบดียูเครน วลาดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ได้พยายามกดดันให้ชาวรัสเซียออกนอกประเทศอย่างเปิดเผย

โดยบอกว่า ในเดือนมิถุนายน 2564 ทาราส เครเมน ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการเพื่อการคุ้มครองภาษาของรัฐได้กล่าวว่า ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายด้านภาษา "อาจจะต้องออกจากประเทศไป"

ในคำถาม-คำตอบที่ปรากฏในเพจเฟซบุ๊กของสถานทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ตอนหนึ่งระบุว่า

“เป็นเรื่องน่าตกใจที่ทำไมสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักจะยืนหยัดเพื่อสิทธิมนุษยชน ไม่สังเกตเห็นการเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองยูเครนที่พูดภาษารัสเซีย อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ถือว่าเป็นคนรัสเซีย?”

มอสโกอ้างว่าสำหรับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในแหลมไครเมีย รวมถึงสถานการณ์ของชนกลุ่มน้อยในประเทศนั้น ไม่เพียงแต่ดีขึ้นหลังจากการคืนคาบสมุทรไครเมียไปยังการดูแลของประเทศรัสเซียเท่านั้น

แต่ยังทำให้เกิดความแตกต่างในเชิงคุณภาพอีกด้วย

แถลงการณ์ของรัสเซียบอกว่า นโยบายของสหพันธรัฐรัสเซียตรงกันข้ามกับนโยบายของหน่วยงานก่อนหน้าและรัฐบาลยูเครนปัจจุบัน

โดยรัสเซียที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของแหลมไครเมีย

“เราเชื่อมั่นว่าประเทศตะวันตกนั้นจงใจบิดเบือนข้อมูลเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาในไครเมีย เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาคมระหว่างประเทศจากสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนที่เห็นได้ชัดในยูเครน..”

(พรุ่งนี้ : ใครจะกะพริบตาก่อนกัน?)