ชอบ..เรื่องนี้

พัค แทซอง (???) เป็นจิตรกรเกาหลีสไตล์ประเพณีนิยมที่มีชื่อเสียงมาก ว่ากันว่า อี กอนฮี ประธานและผู้สร้างอาณาจักรซัมซุงชื่นชอบงานของเขามาก และแขวนภาพของพัค แทซอง ไว้ในห้องทำงาน

เมื่อปีที่แล้ว เขาจัดแสดงงานที่หอศิลป์ซลกอ ที่เมืองคย็องจู ปรากฏว่างานชิ้นที่ชื่อว่า "อักษราภาพ", "ปรับทัศนา"  ได้รับความเสียหาย

เมื่อทางหอศิลป์ตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่ามีเด็กชั้นประถมเล็กๆ คนหนึ่งไปนอนเล่นกลิ้งเกลือกบนภาพเขียนนั้น จนตัวอักษรของภาพเสียหาย

ภาพอักษรนี้เป็นงานชิ้นเอก มีเงินประกันภาพถึง 1,000 ล้านวอน 

พ่อของเด็กก็อยู่ตรงนั้น นอกจากไม่ห้ามแล้วยังถ่ายรูปลูกตัวเองด้วย คนที่หอศิลป์คงตกใจจนแทบเป็นลม สำหรับเจ้าของผลงาน เป็นใครๆ ก็โกรธ

แต่พัค แทซอง บอกกับทางหอศิลป์ว่า "อย่าให้มันวุ่นวายเลย" พูดง่ายๆ ก็คือ ช่างมันเถอะ แถมยังหัวเราะกับเรื่องที่เกิดขึ้น บอกว่างานของเขามันก็ดูเหมือนสไลเดอร์จริงๆ และบอกราวกับว่าเจ้าหนูคนนั้นเป็นผู้มีพระคุณต่อเขาต่างหาก

"ปล่อยรอยเท้าทิ้งไว้ในที่ที่หงสามาเยือนไม่ดีกว่าหรือ?" เขาบอกด้วยภาษาของศิลปินแบบนั้น

นักข่าวถามว่า "หงสา" (พงฮวัง/??) หมายความว่าอะไร ศิลปินใหญ่ตอบว่า "ได้ยินมาว่า ข่าวที่รายงานเรื่องผลงานได้ความเสียหายมียอดวิวถึง 2.18 ล้านครั้งบน YouTube ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กคนนั้น มีหรือผู้คนจะได้เห็นผลงานของผมมากมายขนาดนี้ เจ้าหนูน่าเอ็นดูคนนั้นจึงเป็นหงสาแท้ๆ"

หงสาในความหมายของเขาก็คือ "ฟีนิกซ์" ผู้ที่ทำให้ศิลปินคนนี้อยู่ในความสนใจของสาธารณชนอีกครั้ง ราวกับการคืนชีพของนกฟีนิกซ์ แต่นี่เป็นการถ่อมตัวที่สุด เพราะคนในวงการศิลปะทั้งในและนอกเกาหลีรู้ดีว่าชื่อเสียงของพัค แทซอง ไม่เคยตาย และไม่มีวันตาย เพราะเขากลายเป็นตำนานไปแล้ว

พัค แทซองถ่อมตัวเหมือนกิ่งหลิวน้อย แต่ใจกว้างดั่งท้องทะเล เขาบอกว่า “ถ้าผมเรียกค่าชดเชย พ่อแม่ของเด็กจะต้องขมขื่นใจกับลูกมากแค่ไหน? ส่วนลูกก็จะหดหู่ใจเช่นกัน ความทรงจำของเด็กที่ได้มาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ศิลปะไม่ควรเป็นแบบนั้น ไม่จำเป็นที่มนุษย์จะต้องอยู่อย่างเผชิญหน้ากันแบบนั้น"

พัค แทซองเข้าใจหัวใจของเด็ก เพราะเขาก็เหมือนเราที่เคยผ่านการเป็นเด็กมาก่อน แต่เขามีประสบการณ์ที่พิเศษออกไป เขาเป็นลูกของคนมีอันจะกินมาก่อน แต่วันหนึ่งในปี 1949 พวกกองโจรคอมมิวนิสต์บุกเข้ามาสังหารคนในครอบครัวของเขา ประหารพ่อของเขาฐานเป็น "เจ้าที่ดินฝ่ายปฏิกิริยาต่อต้านการปฏิวัติ" ทั้งๆ ที่พ่อของเขาเป็นแค่แพทย์แผนโบราณคนหนึ่ง

พัค แทซองวัย 5 ขวบรอดตายมาได้ แต่เสียแขนไปข้างหนึ่ง เขียนมาถึงขณะนี้แล้ว เราเพิ่งรู้ว่า จิตรกรเอกคนนี้มีแขนเพียงข้างเดียว หลังจากนั้นเขาไปอาศัยบ้านญาติ บ้านนั้นจัดพิธีเซ่นไหว้บรรพชนปีละหลายครั้ง งานเซ่นไหว้ตามขนบขงจื๊อจะต้องมีการกางฉากลับแลไว้ด้านหลังโต๊ะตั้งป้ายวิญญาณและของไหว้ พัค แทซองได้ที่นอนอยู่ใกล้กับฉากลับแลนั้น แต่เขาเป็นเด็กช่างเขียน แม้จะเหลือมือข้างเดียว เขาเอากระดาษที่เอาไว้เขียนชื่อวิญญาณผู้ตาย (กระดาษชีบัง) ที่ใช้ในพิธีเซ่นไหว้มาขีดๆ เขียนๆ เลียนภาพบนฉากลับแล  

ของพวกนี้เป็นของใช้ในพิธีกรรมอันเคร่งขรึม หากเป็นเด็กคนอื่นทำ เป็นได้ถูกตีจนมือลาย แต่ผู้ใหญ่ในบ้านพอเห็นเข้าก็ชมว่า "แทซองของเรานี่วาดรูปเก่งจริง" บอกแค่นั้น "แค่คำเดียว" พัค แทซอง เล่าให้นักข่าวฟัง

แค่คำนั้นก็เปลี่ยนชีวิตเด็กคนหนึ่งได้ เขาบอกว่า "เมื่อนึกถึงตอนนี้ ผมคิดว่าเขาคงเจตนาไม่ให้ผมเสียใจ เพราะผมไม่มีพ่อแม่และไม่มีแขน แต่คำคำเดียวนั้นทำให้ผมกลายเป็นจิตรกร”

ด้วยคำคำนั้นมันทำให้ฟันฝ่าอุปสรรคนานา ได้ถูกเพื่อนนักเรียนล้อเลียนเรื่องมีแขนเดียว สิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงชีวิตเขาคือการวาดภาพ เขาไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะชั้นสูง แต่เรียนด้วยตัวเองกับไปฝากตัวกับจิตรกรสไตล์โบราณที่มีชื่อ สร้างตัวเองด้วยแขนข้างเดียว จนกระทั่งประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่

เพราะเขาเคยเป็นเด็กที่ผ่านความเจ็บปวดกระมัง จึงไม่อยากจะให้เด็กเจ็บปวดเหมือนเขา

บางคนอาจจะคิดว่านี่เป็นการสปอยล์เด็กเกินไปหรือเปล่า? เราแต่ละคนผ่านชีวิตมาไม่เหมือนกัน สำหรับพัค แทซอง ภาพเขียนราคาร้อยล้านพันล้าน ไม่เท่ากับประสบการณ์ของเด็กน้อยคนหนึ่งจะจำติดตัวไป

จากสิ่งที่ตัวเขาเคยประสบมา นี่คือสิ่งที่เขาคิดว่ามันเหมาะสมดีแล้ว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สไตล์Yป่วง

คิดได้ไง?!? ทำไปได้ ?!? กับการสวมเสื้อกางเกงลายประจำจังหวัดออกสื่อ@ ทำเนียบรัฐบาล พร้อมกับเชิญชวนให้ทุกคนใส่กันให้คึกคักในช่วงเทศกาลสงกรานต์

เครื่องแบบข้าราชการ

แผ่นดินจีนในสมัยราชวงศ์หมิง รัชกาลสมัยพระเจ้าหมิงเฉิงจู่ มีร้านตัดเสื้อที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งที่นครหนานจิง เมืองหลวงของประเทศ พวกข้าราชการทั้งหลายมักนิยมไปตัดเครื่องแบบที่ร้านนี้เป็นประจำ

เทศกาล..ขึ้นเขาคิชฌกูฏ

ปีหนึ่ง..อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี เปิดให้พุทธศาสนิกชนได้ขึ้นไปสักการะรอยพระพุทธบาทพลวง เพียงแค่ 2 เดือนโดยประมาณ ซึ่งปีนี้ก็กำหนดระหว่างวันที่ 29 มกราคม จนถึง 29 มีนาคม ที่กำลังจะถึงนี้

สำรวจตัวเอง..คุณเคยไปเที่ยวแบบนี้ไหม?!?

เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยส่วนใหญ่ต้องเคยไปเที่ยว ส่วนจะเที่ยวใกล้เที่ยวไกล หรือเที่ยวที่ไหน เที่ยวกับใครนั้น ก็เป็นเรื่องสุดแต่ใจจะไขว่คว้าของแต่ละคน