
“เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง”
อมตพจน์ “หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร” บิดาแห่งการเกษตรไทย ท่านกล่าวฝากไว้กับแผ่นดิน ถึงตอนนี้ ก็เฉียดศตวรรษ!
วันนี้ ๒๗ มีนา.....
ถัดไปอีก ๒ วัน ๒๙ มีนา. ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕
“จันทร์ดับ” เป็นวัน “โลกาวินาศ” ตามกาลโยค
เกิด “สุริยคราส” เปลี่ยนปีนักษัตรจาก “มะโรง” เป็น “ปีมะเส็ง”
ผลสุริยคราส ที่ราศีมีน ณ วันนี้ ยังอยู่ในขั้นอณูเล็กๆ ที่เรียก “กลาปะ” คือธาตุทั้ง ๔ เริ่มก่อเป็นรูป เรียกว่า “ปฏิสนธิ”
จะค่อยๆ พัฒนาเป็นก้อนเลือด เป็นชิ้นเนื้อ แล้วแตกปุ่มเป็นหัว เป็นตัว เป็น ๒ แขน ๒ ขา ไม่เกิน ๓ เดือน ก็ครบอาการ ๓๒
ฉะนั้น นับจากนี้ไป ที่ว่า “ไม่มีอะไร” อาจต้องเปลี่ยนคำพูดใหม่ เป็นว่า
“ใกล้เข้ามาแล้วสินะ...แม่หน้านวล”
ทุกอย่างอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา วันนี้กระดี๊กระด๊า พรุ่งนี้...อ้าวเห็นอยู่หลัดๆ วิบัติวอดวายหงายท้องไปซะแล้ว”!
จึงขอด้นโศลกแบบดิบๆ เป็นการบอกให้รู้ล่วงหน้า ว่า....
“ผลโหวตคนในคอกมันเป็นมายา ผลสอบแพทยสภาและ ป.ป.ช.สิ เป็นของจริง”
ผมจึง “หางตาก็ไม่แล” ตัวเลขโหวต อภิปรายในสภาเมื่อวาน
เพราะมันเป็นตัวเลขสะท้อน “ปริมาณปลอกคอ” คณะ “ปาหี่สภา” ไม่ใช่ตัวเลขสะท้อนคุณภาพจริงตัวแทนประชาชนในสภา
ทั้งของ “นายกฯ หญิงไอแพด” และทั้งของพรรคประชาชน-ฝ่ายค้านในการตรวจสอบผลงานนายกฯ
มีอย่างที่ไหน ยกทัพ-จับศึกถล่ม “นายกฯ-รัฐบาล” เต็มอัตราศึก ๒ วัน ๒ คืน จนคนดูเคลิ้ม คุณย่า-คุณยาย เชียร์ฝ่ายที่ชอบจนน้ำหมากกระฉอก
ที่ไหนได้ อภิปรายเสร็จ “เท้ง-ศิริกัญญา” หัวหน้าทัพพรรคประชาชน ที่ยืนด่าเขาเหยงๆ
กลับยกคณะไปกราบกรานประหนึ่งสมาลาโทษอุ๊งอิ๊งและพลพรรครัฐบาล แล้ว “ถ่ายรูปหมู่” อวดชาวประชาที่เถิ่งตาเชียร์กันข้ามวัน-ข้ามคืน
นี่มัน “เล่นลิเก” กันเห็นๆ พอลาโรง ถอดชุดออก อ้าว...มันคอกเดียวกัน (นี่หว่า) แสดงแหกตากันชัดๆ!
นี่น่ะหรือ “ดีลแลกประเทศ” ที่เคาะกระถาง-เตะปี๊บโครมครามเป็นหนังตัวอย่างล่วงหน้าการอภิปรายของพวกคุณ?
มันจบด้วยการเข้าไปกราบนายกฯ ไอแพดแล้วขอถ่ายรูปหมู่ให้ชาวบ้านดูด้วยอดสูจนขากแขยงกันทั้งบ้าน-ทั้งเมืองแบบนี้น่ะหรือ?
ที่ “เท้ง-นาฏดนตรี” แสดงในบทอภิปรายซักฟอกอุ๊งอิ๊งมา ๒ วัน การลิเกหรือการเมืองเรื่องตรวจสอบ คำตอบมันมาชัดตอนเข้าไปกราบแล้วถ่ายรูปหมู่เป็นบทจบนี่แหละ
สรุป ที่ซักฟอกด้วยข้อกล่าวหาอุ๊งอิ๊งหลายเรื่อง เรื่องจริงหรือการลิเก ยังไม่แน่ใจ
แต่ที่อุ๊งอิ๊งลอยหน้าอ่านไอแพดตอบด้วยวาทกรรม แน่ใจเป็นเรื่องจริง ชัดเลย มี ๒ เรื่อง
๑.ที่ว่าเพื่อไทย-พรรคประชาชน “เราหัวอกเดียวกัน”
๒.เรามีนายเป็น “ปลอกคอ” แสดงบทบาทในสภาเหมือนกัน
ตรงนี้ ชัด ทั้งอุ๊งอิ๊ง ยอมรับเลยว่า
พ่อเขาเป็นทั้งนายตัวเขา ทั้งเป็นนายของพรรคเพื่อไทย และทั้งเป็นนายของรัฐบาล
ส่วนพรรคประชาชน ทั้งพรรค ทั้งหัวหน้าเท้ง ทั้ง สส.ในพรรค ก็มีนายธนาธรเป็นนาย
ทั้งฝ่ายซักฟอกและฝ่ายถูกซักฟอก ต่าง “สวมปลอกคอ” แล้วเต้นตามโซ่ในมือนายกระตุกด้วยกันทั้งคู่
ที่อุ๊งอิ๊งพูดผิดจากข้อเท็จจริงไปบ้าง ก็ตรงเหตุผลที่ว่า “เราหัวอกเดียวกัน” จากการ “ถูกกระทำ” นั่นน่ะ
พวกคุณหัวอกเดียวกันในความเป็น “แดง-ส้ม” พยายามล้มทั้งรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ล้มทั้งประเทศและสถาบัน
แล้ว “ปั้นวาทกรรม” ปลุกผีเหล่ากุมารา-กุมารีลงถนน กระทำย่ำยีต่อบ้านเมืองและสถาบันนั่นตะหาก ที่ “หัวอกเดียวกัน”
และหมาตัวไหนเป็นฝ่ายรับงานเกณฑ์เสื้อแดงจากชานเมืองและจากอีสานบางจังหวัดมาเป็นแดงผสมส้มจลาจลเมือง จนธนาธรประกาศ “เราเปิดประตูบานแรกสำเร็จ” แล้ว
นั่นน่ะ “เรากระทำด้วยกัน”....
หาใช่ “เราถูกกระทำด้วยกัน” ซะที่ไหนล่ะ?
ไอ้พวกหลี่กงกงหัวหงอก-หัวดำหลังม่าน บางตัวก็ขี้คุกเขียนบิดวาทกรรมให้อุ๊งอิ๊งอ่านไอแพด นายกฯ Gen Y ก็อ่านไปเรื่อย
“สากที่ไม่เคยรู้รสพริกที่ตำ” เป็นฉันใด ผู้นำลอยหน้าอ่านไอแพดตอบซักฟอกในสภา ซึ่งมีแบบนี้แห่งเดียวในโลก ก็ฉันนั้น
และประโยค “เราหัวอกเดียวกัน” ตามอุ๊งอิ๊งพูด
ความหมายที่ซ่อนนัย น่าจะเป็นว่า “หัวอกคนถูกหลอก” ที่ได้เป็นรัฐบาลอยู่เห็นๆ กลับต้องกระเด็นเกนเก้ เพราะถูกเขาหลอก
กับ “หัวอกคนหลอก” ที่ต้องอับอายขายหน้าแหก เพราะโม้จะแลนด์สไลด์ แต่กลับแพ้พ่ายหมดรูป ให้กับพรรคเด็กในคาถา
กว่าจะใช้เล่ห์กลอกกลิ้งชิงความเป็นรัฐบาลกลับมาได้ ทำเอานายหวิดเสียหมา!
นี่คือ “ผลึก” ของประโยค “แดง-ส้มเราหัวอกเดียวกัน” มันเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ในความหมาย “เราต่างถูกกระทำด้วยกัน” เพราะนั่น “เรากระทำด้วยกัน” ตะหาก!
รู้ว่าถูกหลอกหรือถูกปล้นสถานะความเป็นพรรคมีเสียงมากอันดับ ๑ ได้จัดตั้งรัฐบาลไป เจ็บอายนี้ แทนที่จะแค้นฝังกระบาล
เอาเข้าจริง พรรคประชาชน ก็แค่หุ่นเชิดธนาธร “เด็กทักษิณ” อภิปรายซักฟอกเอาเป็น-เอาตาย เสร็จแล้ว “พวกนงเกี้ย” ซมซานไปอภิวาทวันทาขอถ่ายรูปหมู่กับโจรปล้นสิทธิ์
อะไร (ของพวกมึง) วะ!?
ครับ...ก็อย่างที่บอก วันนี้ รัฐบาล ยิ้มเยาะ หัวเราะเริงร่า ดูโลกโศภินไว้ให้เต็มตา
เพราะเมื่อ “ผลสอบแพทยสภา” รวมทั้งที่ ป.ป.ช.ว่าด้วยเรื่องป่วยทิพย์ ชั้น ๑๔ อันมีผลต่อแพทย์ รพ.ตำรวจและ รพ.ราชทัณฑ์ออกมา
“หมาคอกแตกดังโพละ” โปรดระวัง!
ที่พูดนี้ ไม่ได้ส่งซิกทำนองว่า ผมรู้อะไรมานะ ผมไม่รู้หรอก เพียงแต่บอกจาก “ลางสังหรณ์” อันอาจนำสู่หมู่หมาในคอกต้องหอนระงมเท่านั้น
อ้าว...พูดไม่ทันขาดคำ ข่าวมาพอดีเลย
“คณะกรรมการสอบ” เตรียมส่งผลสอบให้ที่ประชุมใหญ่ “กรรมการแพทยสภา” ลงมติ ชี้ขาด ๑๐ เมษา.นี้!
อะยัมภะทันตาอะไรอย่างนั้น ก็แขม่วท้องรอฟังก็แล้วกันว่า
๑๐ เมษา.แพทยสภาจะ “เอาผิด-ไม่เอาผิด” จริยธรรมแพทย์ รพ.ตำรวจ-รพ.ราชทัณฑ์ หรือไม่อย่างไร?
ผลสอบแพทยสภา ไม่ว่าออกทางไหน “ส่งผล” ไปทั้งจักรวาลมาร์เวลอย่างนั้นเลย
พูดเรื่องแพทยสภาปุ๊บ ด้าน “ศาลรัฐธรรมนูญ” ก็มีมาปั๊บ
มติเป็นเอกฉันท์
“รับคำร้องในเรื่องที่ประธานวุฒิสภา” ส่งคำร้องของ “พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร” สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภา รวม ๔๒ คน
ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย “ความเป็นรัฐมนตรีของ “นายภูมิธรรม เวชยชัย” ในฐานะประธานบอร์ด DSI และ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ในฐานะรองประธานบอร์ด DSI
ว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๖๐(๔)(๕)
เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสอง “สิ้นสุดลงเฉพาะตัว” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗๐ วรรคหนึ่ง (๔) ประกอบมาตรา ๑๖๐ (๔) (๕) หรือไม่?"
ก็ที่ไปแทรกแซงคดีในอำนาจของ กกต.ให้ DSI เอาเรื่อง “ฮั้วเลือก สว.” ปี ๖๗ มาทำเป็นคดีพิเศษ เพื่อหวังเด็ดหัว “สว.สีน้ำเงิน” นั่นแหละ
ปรากฏว่า เมื่อคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการศาลฯ ประชุมพิจารณาวินิจฉัยเมื่อวาน (๒๖ มี.ค.๖๘) มติเอกฉันท์ “รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย”!
โดยศาลฯ เห็นว่า กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ วรรคสาม ประกอบมาตรา ๘๒ วรรคหนึ่ง
และ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๑ มาตรา ๗ (๔)
ให้นายภูมิธรรมและ พ.ต.อ.ทวียื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลฯ ภายใน ๑๕ วัน
ส่วนกรณีที่ขอให้ศาลฯ สั่งให้นายภูมิธรรมและ พ.ต.อ.ทวี “หยุดปฏิบัติหน้าที่” จนกว่าศาลฯ จะมีคำวินิจฉัยนั้น
ศาลฯ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้อง ยังไม่ปรากฏเหตุ “อันควรสงสัย” ว่ามีกรณีตามที่ถูกร้อง
จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ในชั้นนี้ ยังไม่สั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสองหยุดปฏิบัติหน้าที่
สภายุคนี้ คือมายานาฏดนตรี ทั้งหลาย-ทั้งปวงก็ต้องที่ศาลฯ และองค์กรอิสระเท่านั้น เป็นที่หวัง-ที่พึ่งของสังคมธรรม
พูดถึง “ฝ่าฝืนจริยธรรม” ที่นายภูมิธรรมและ พ.ต.อ.ทวีถูกเข้าแล้ว ก็อยากบอกกับพรรคประชาชนว่า
พวกคุณอภิปรายกล่าวหานายกฯ อุ๊งอิ๊งเข้าข่าย “ผิดมาตรฐานจริยธรรม” ขั้นร้ายแรงหลายเรื่อง
เช่นเรื่องตั๋วสัญญาใช้เงิน ที่เรียกตั๋ว PN ตามข้อมูลที่ “สำนักข่าวอิศรา” ขุดมาแฉไว้ แล้ว สส.วิโรจน์นำมาอภิปรายขยายผล เป็นต้น
จะต้องลังเลอะไร ถ้าพรรคประชาชนจริงใจต่อการทำหน้าที่ตรวจสอบแทนประชาชน ต้องรวบรวมหลักฐานตามที่อภิปรายยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.เลย
อย่าลืมว่า รัฐธรรมนูญ ๖๐ เน้นเอาผิดนักการเมืองที่ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมในขั้นเข้มข้น ต่างจากรัฐธรรมนูญทุกฉบับ
ผู้ที่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน จะถูก ป.ป.ช.สอบสวน
หากเห็นว่ามีความผิด ป.ป.ช.จะเสนอต่อศาลฎีกา หากมีคําพิพากษาว่าผิดจริง ผู้นั้น ต้องพ้นจากตําแหน่งและอาจถูกเพิกถอนสิทธิรับเลือกตั้งไม่เกิน ๑๐ ปีอีกต่างหาก!
เรื่องตั๋ว PN อุ๊งอิ๊งนี้ นอกจาก ๒ ง่ามในแง่กฎหมาย แต่ “แง่เดียว-ง่ามเดียว” ในด้าน “มาตรฐานจริยธรรมนักการเมือง”
เอาไว้คุยกันให้ลึกลงไปในด้านว่าด้วย “มาตรฐานจริยธรรม” วันหลัง และกรณีตั๋ว PN อุ๊งอิ๊งนี้ ถ้าสรรพากร “ทำเฉย”
คนเป็น “อธิบดีสรรพากร” ก็ต้องระวัง ๑๕๗ ไว้ด้วย!
เอาละ เตรียมฉลองสงกรานต์กันให้สนุก แล้วไปรอคลุกความตื่นเต้นที่จะมีต่อเนื่องไปถึงต้นพฤษภา.
“พ่อใคร-ลูกใคร” จะไปทางธรรมชาติช่องไหน ก็เตี๊ยมกันให้ลงตัวไว้แต่เนิ่นๆ เน้อ!
-เปลว สีเงิน
๒๗ มีนาคม ๒๕๖๘
คนปลายซอย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จุดดับ.. เทสลา-มัสก์ คลุกฝุ่นการเมือง!! | จับจ้องมองโลก..อิสรา สุนทรวัฒน์
จุดดับ.. เทสลา-มัสก์ คลุกฝุ่นการเมือง!! จับจ้องมองโลก..อิสรา สุนทรวัฒน์ : วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2568
‘สันติ-สุริยะใส’ ขยี้นิติกรรมตั๋ว PN ปมอวสาน ‘อุ๊งอิ๊งค์’ I อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร
‘สันติ-สุริยะใส’ ขยี้นิติกรรมตั๋ว PN ปมอวสาน ‘อุ๊งอิ๊งค์’ อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม 2568
‘ตั๋ว P/N นุงนัง-ตั้งบ่อนอีก’
ต้องบอกว่า.... “ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” อย่างนั้นจริงๆ สำหรับรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง
วันนี้ ‘ลิงไปกินกล้วย’ กี่ตัว?
ต้องถามท่านแล้วละว่า.... ซักฟอกนายกฯ ลูกทักษิณ ๒ วันที่ผ่านไป เป็นไงบ้างครับ มันหยดติ๋งสมราคาคุยพรรคฝ่ายค้านมั้ย?
โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตุลาการในศาลปกครองสูงสุด จำนวน 6 ราย
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งตุลาการศาลปกครองสูงสุด 6 ราย โดยมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญในศาลปกครองสูงสุด ทั้งในแผนกคดีวินัยการคลัง การงบประมาณ และคดีสิ่งแวดล้อม