
ตอนเรียนหนังสือ สิ่งที่ถูกสอนตลอดเวลาคือ การบริหารประเทศควรต้องแยกศาสนากับการบริหาร เพราะเมื่อปนกันเมื่อไหร่ ผู้มีอำนาจจะกลายเป็นเผด็จการไปในตัว เมื่อรวม 2 สิ่งนี้เป็นอันเดียวกัน ผู้นำจะอ้างว่านโยบายเป็นคำสั่งสอนจากพระเจ้า ใครที่กล้าเถียง ใครที่แย้ง หรือใครที่ต้าน จะไม่ต้านเฉพาะรัฐบาล แต่จะต้านพระเจ้า (หรือพระพุทธเจ้า)
คิดดูครับ ขนาดบ้านเราเป็นอย่างนี้ มีรัฐธรรมนูญชัดเจน มีการแยกระหว่างศาสนากับการเมือง แยกสถาบันออกจากฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการขนาดนี้ เรายังเถียงและทะเลาะกันแทบตาย ทุกคนถูกหมด ทุกคนผิดไม่ได้ ทุกคนอ้าง “ประชาธิปไตย”
ถ้าบ้านเราเหมือนประเทศที่รวมศาสนากับการบริหารเป็นอันเดียวกัน เราจะทะเลาะกันเรื่องอะไร? รักพระเจ้า กับไม่เอาพระเจ้า อย่างนั้นเหรอ?
ส่วนเวลาเรียนคอร์สการบริหารด้านธุรกิจ เรามักจะถูกสอนว่าเจ้าของกิจการ ไม่ว่าจะเป็นกิจการขนาดเล็กหรือใหญ่ ไม่ควรแสดงตนทางการเมืองมากนัก เพราะมันจะมีผลต่อธุรกิจ เนื่องจากเราไม่รู้ กลุ่มลูกค้ามีความหลากหลายในตัว ในการแสดงจุดยืนทางการเมือง อาจทำให้ลูกค้าไม่พอใจ อาจทำให้สะเทือนใจ อาจทำให้ถูกใจ และอาจทำให้ไม่พอใจ
จุดยืนทางการเมือง คือจุดของเรา เป็นอุดมการณ์ เป็นแนวความเชื่อ และเป็นสิทธิ แต่ธุรกิจ การเงิน ดุลทางการค้า ไม่มีอุดมการณ์ ไม่มีความรู้สึก และไม่มีความเชื่อครับ มีแต่มีเงินพอจะดำเนินงานต่อไปได้หรือไม่ มีเงินพอเลี้ยงบริวาร และมีเงินพอให้เจ้าของกิจการดำรงชีวิตได้ต่อนานแค่ไหน
ดุลทางการค้าไม่สนหรอกว่าคุณจะแดง ส้ม เหลือง หรือเขียว สิ่งที่สนอย่างเดียวคือ เงินเข้ามาจากไหน เข้าเมื่อไหร่ ก่อนที่จะต้องออกไป
ดังนั้น ทางที่ปลอดภัยที่สุดคือ เจ้าของกิจการทำธุรกิจไป รักษาลูกค้าที่มีอยู่ และเก็บจุดยืนทางการเมืองไว้กับตัว อันนั้นปลอดภัยสุด แต่ในโลกแห่งความจริง เจ้าของกิจการหลายรายเลือกแสดงจุดยืนทางการเมืองชัดเจน เพราะเลือด “เข้มข้น” ไม่คิดปิดบัง และอยากสนับสนุนฝ่ายการเมืองที่ตนเองชอบเต็มที่
พรรคที่ผมสังกัดมีแฟนพันธุ์แท้ที่กล้าแสดงตน และชอบแสดงตน ทั้งกับคนแปลกหน้า และกับคนที่รู้ว่าชอบการเมืองทิศทางเดียวกัน ผมมีร้านอาหารตามสั่งใกล้บ้านที่บังเอิญเป็นแฟนพันธุ์แท้พรรค ซึ่งผมไม่รู้ก่อนเข้าร้านว่าเขาคลั่งไคล้พรรคขนาดนั้น พอผมเข้าไปนั่งปุ๊บ เขาแสดงตนทันที ซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไร ถือว่าเป็นการคุยกันที่เพลิดเพลิน แต่สิ่งที่ทำให้อึดอัดคือ ผมก็นั่งอยู่ดีๆ ของผม และคนอื่นก็นั่งดีๆ ของเขา ต่างคนต่างอยู่ แต่เจ้าของร้าน รักที่เขารัก เป็นประเภทที่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นไม่รัก เหมือนที่เขารัก
พอประกาศทั่วว่ารักพรรคที่เขารักนั้น เขาดันไปถามทีละคนตามโต๊ะต่างๆ ว่า “เลือกพรรคไหน?” “ทำไมเลือกเขา?” ถามแบบจริงจังครับ ถามแบบต้องการคำตอบเดี๋ยวนั้น ซึ่งแต่ละคนอึดอัด แล้วไม่อยากพูดอะไรมาก แต่แค่นั้นไม่พอ นอกจากจะถาม “ทำไมเลือกพรรคโน้น?” เขาชี้ไปทางผม แล้วถามว่า “ทำไมไม่เลือกพรรคเขา?” ผมไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน ต่างคนต่างสบสายตากัน ขอความช่วยเหลือกันซึ่งกันและกัน และสื่อกันผ่านภาษาตาว่า “ขอโทษ”
หลังจากวันนั้น (เมื่อหลายปีก่อน) ผมไม่กล้ากลับไปร้านนี้อีก กลัวว่าผมจะเป็นต้นเหตุให้คนชกกันขึ้นมา
ที่ผมเล่าตรงนี้เพราะผมนึกถึงกรณี Elon Musk บุคคลสำคัญยิ่งในรัฐบาลประธานาธิบดี Donald Trump ผมนึกถึง Musk ในแง่มุมที่เขาเป็นเจ้าของ Tesla และภาพพจน์ของ Tesla
จะผิดถูกอย่างไร เวลาผมนึกถึงเจ้าของรถ Tesla ผมจะนึกถึงคนที่รักษ์สิ่งแวดล้อม คนที่คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ความเสมอภาคระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย (และเชื้อชาติต่างๆ) ผมจะนึกถึงคนที่อยู่อำเภอเมือง คนที่กินกาแฟแก้วแพงๆ คนที่ซื้อสินค้าและใช้ของที่เป็นประโยชน์ต่อโลก อันนี้คือภาพที่ผมมีต่อเจ้าของรถ Tesla ในสหรัฐ
ซึ่งถ้าเป็นบ้านเรา ผมมองว่าคนที่มีรถ Tesla มีตามค่านิยม และความเท่ของแบรนด์มากกว่า ซึ่งยอมรับไม่ใช่ทุกคนหรอกนะครับ หลายคนที่เป็นเจ้าของ Tesla ในบ้านเรา รักษ์สิ่งแวดล้อมจริง แต่กลุ่มคนที่ผมรู้จักที่มี Tesla แต่ละคนซื้อไว้เพราะแบรนด์มันเท่ดี และ Tesla ดูหรูกว่ารถไฟฟ้าจีน (เห็นหน้าเพื่อนผมเลยครับ)
แต่สำหรับคนอเมริกัน การเป็นเจ้าของรถ Tesla เป็นการประกาศวิถีชีวิต เป็นการประกาศว่าเขานิยมพรรคไหนและไม่นิยมพรรคไหนอย่างชัดเจน ใครที่ขับ Tesla ที่นู่น เป็นการประกาศเงียบๆ ว่ามีฐานะ มีรสนิยม และมีการศึกษา (ส่วนรถอีกคันหนึ่งที่ไม่แพงเท่า แต่ประกาศจุดยืนทางการเมืองชัดเจนคือ Toyota Prius) ผมกล้าฟันธงว่า 90% ที่ใช้ Tesla น่าจะไม่เลือก Trump อย่าว่าแต่ไม่เลือก ถึงขั้นเกลียด กลัว และประณาม Trump ทุกหนทางด้วยซ้ำ
คนเหล่านี้จะรู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าของ Tesla กลายเป็นคนสำคัญ (ที่สุด) ในรัฐบาลของ Trump? จะรู้สึกถูกหักหลัง? สับสน? โกรธ? แค้น? ความรู้สึกคืออะไรครับ? เพราะจากเดิม ทุกสิ่งอย่างที่เขาเชื่อกัน ทั้งวิถีชีวิต จุดยืนทางการเมือง เหมือนผ่านสัญลักษณ์รถที่เขาขับ
แต่พอเจ้าของ Tesla กลายเป็นมือขวาของ Trump และประกาศร่วมมือ ทำงานด้วยกันอย่างเหนียวแน่น ปฏิบัติและแถลงนโยบายที่ขัดและขวางความเชื่อที่ตนเองเคยมีนั้น ยังจะภูมิใจขับ Tesla เหมือนเมื่อก่อนหรือไม่? ยังจะแสดงจุดยืนทางการเมืองผ่านรถต่อหรือไม่? ผมเชื่อว่าคนขับ Tesla ในสหรัฐตอนนี้สับสน และไม่รู้จะทำตัวอย่างไร
เลยทำให้ยอดขายของ Tesla ต้องตกวูบ จนทำให้ Trump ต้องประกาศว่าการทำลายรถ Tesla เท่ากับก่อการร้ายทีเดียว และยังประกาศจะช่วยเหลือเพื่อนรักด้วยการซื้อ Tesla สักหนึ่งคัน
พวกเราอยู่ในยุคที่ทุกอย่างเป็นไปได้หมด และสำหรับใครที่บ่นว่าประเทศไทยย่ำแย่และเลวร้ายนั้น มันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
5ปีที่แล้วโลกหยุดหมุนชั่วคราว
วันนี้ขอย้อนกลับไปยุคที่ไม่ห่างปัจจุบันมากนัก แต่ต่างจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง ผมจะไม่ย้อนกลับไป 20-30 ปี จะย้อนแค่ 5 ปีเท่านั้น ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่โลกหยุดหมุนชั่วคราวอย่างจริงจัง เป็นยุคที่ Corona Virus กำลังระบาด ทำให้โลกของเราอยู่ในความมืดมน อยู่ในความสับสน อยู่ในความงง บวกกับความกลัว และความไม่แน่นอน
2568 อันธพาลครอง.....ทำเนียบขาว!!!
วันนี้ผมมาช้า แต่ช้าดีกว่าไม่มา วันนี้ผมอยากพูดถึงเรื่องการ “ปะทะ” ระหว่าง ประธานาธิบดี Donald Trump กับประธานาธิบดี Volodomyr Zelensky เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ Zelensky เยือนทำเนียบขาว อย่างเป็นทางการ ผมจะไม่เสียเวลาใคร วิเคราะห์ว่า พฤติกรรม Trump ไม่เหมาะสมอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะสำหรับใครที่คิดว่าการกระทำของ Trump ถูกต้องอยู่ พูดไปก็เท่านั้นแหละครับ
THANK YOU, NICO!!!!!!
ผมขอแสดงความนับถือ และขออวยพรให้พี่น้องชาวมุสลิมทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง และมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง ตลอดช่วงรอมฎอนปีนี้ครับ
Game of Thrones ภาคฟิลิปปินส์ (ตอนจบ)
เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้ปูทางและเล่าที่มาที่ไปของความขัดแย้งระหว่าง “บ้านใหญ่” 2 ตระกูลในแวดวงการเมืองฟิลิปปินส์ ตระกูลหนึ่งเป็น “บ้านใหญ่”
Game of Thrones ภาคฟิลิปปินส์ (ตอนที่ 1)
ถ้าชอบเรื่องการเมือง ถ้าชอบดรามา ถ้าชอบดรามาการเมืองนั้น ผมว่าแฟนคอลัมน์สามารถติดตามการเมืองภายในประเทศทุกประเทศ ทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น
ถูกใจ....ถูกต้อง?
ผมรู้สึกโล่งใจที่สภาพอากาศกลับมาสู่สภาพปกติ (มากกว่าเดิม) ถึงแม้จะไม่ใสสะอาดเท่าที่ควรก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าช่วงที่มีฝุ่นหนาทั่วบ้านทั่วเมือง