โปรดดูโพลก่อนด่า...ประชาพอใจ

ตลอดระยะเวลาที่แพทองธารดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเวลาประมาณครึ่งปี เธออาจจะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ จนถึงระดับถูกด่าทอต่อว่ามากที่สุดของประเทศไทย ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีคนแรกมาจนถึงเธอที่เป็นนายกรัฐมนตรีอันดับที่ 31 การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวเธอนั้น ต้องบอกว่าเป็นการด่ารายวัน จนพ่อของเธอไม่พอใจว่าจะด่าอะไรกันนักหนา ตัวเธอเองก็มีท่าทีหงุดหงิดกับการที่โดนวิพากษ์วิจารณ์ทุกวัน หลากหลายเรื่อง หลากหลายประเด็น จนเกิดวาทกรรมว่า “ต่างคนต่างอยู่ ถ้าหากไม่ชอบก็ไม่ต้องมาติดตาม” หรือถ้าแรงไปกว่านั้นก็คือ วาทกรรมที่

ว่าการกระทำของเธอไม่ได้ทำบนที่ใส่หมวกของใคร หรือแปลง่ายๆ ว่าไม่หนักหัวใคร นับได้ว่าเธอเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ และไม่สนใจที่จะชี้แจง แต่กลับมีท่าทีเหมาะจะทะเลาะกับประชาชน โดยกล่าวหาว่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์ในทำนองด่าทอต่อว่าหรือตำหนิเธอนั้นเป็นพวกที่มีอคติ เป็นพวกคิดลบ รวมทั้งเป็นพวกที่อิจฉาพ่อเธอ และอิจฉาเธอ ทนเห็นเธอเดินเข้าทำเนียบรัฐบาลไม่ได้

นอกจากพ่อของเธอ ตัวเธอ ไม่พอใจที่ถูกตำหนิรายวันแล้ว ยังมีเหล่าบรรดาลิ่วล้อที่ทำตัวเป็นข้าทาสบริวาร ทำหน้าที่เป็น “หลวงอวยช่วยชม” ว่าเธอเป็นคนเก่ง ขยันทำงานเพื่อประชาชน แก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และมีการพัฒนาการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ข้อความที่อวยกันแบบสุดลิ่มทิ่มประตูเช่นนี้ไม่ได้เป็นผลดีกับตัวเธอเลย เพราะนอกจากจะทำให้คนที่มองออกว่าคำอวยเหล่านั้นมันตรงกันข้ามกับความจริงเชิงประจักษ์ จะรู้สึกสมเพชเวทนาอาการสอพลอตอแหลของลิ่วล้อแล้ว มันยังทำให้คนที่ได้รับคำสรรเสริญเยินยอแบบสวนกับความเป็นจริงเสียคน เพราะจะไม่มีวันรู้ตัวว่าที่ตัวเองทำอยู่นั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สมควรได้รับการดูแลแก้ไข ดังนั้นเราจึงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เราจะเรียกได้ว่าเป็นการพัฒนา แม้บางคนจะบอกว่าต้องให้เวลาเธอในการสร้างผลงาน ก็จะมีคนมาตอบโต้ว่า ตำแหน่งของเธอนั้นไม่ใช่ตำแหน่งสำหรับการฝึกงาน และสำหรับระยะเวลาที่ผ่านมามันน่าจะพ้นระยะเวลาทดลองงานแล้ว และหลายคนพูดชัดว่าเธอไม่ผ่าน

นอกเหนือจากพ่อจะแสดงความไม่พอใจ ลูกสาวแสดงอาการหงุดหงิดและต่อว่าประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์ ยังมีลิ่วล้ออีกคนตำหนิคนที่วิพากษ์วิจารณ์พ่อและลูกคู่นี้ว่าเป็นพวกขี้อิจฉา เป็นพวกที่อกจะแตกตาย น้ำลายฟูมปากที่เห็นพ่อหายป่วย เห็นลูกเข้าทำเนียบฯ เป็นพวกไม่เดินไปข้างหน้า ยังยึดติดกับอดีต เอาเรื่องเก่าๆ เดิมๆ มาวิจารณ์พ่อลูก ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่ที่วิพากษ์วิจารณ์นั้นเขาไม่ได้มีความรู้สึกเกลียดชังพ่อลูกคู่นี้ด้วยอารมณ์ แต่เขามีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นความจริงเชิงประจักษ์เป็นเหตุผลรองรับอารมณ์ความรู้สึกที่พวกเขามีกับพ่อลูกคู่นี้ และแรงจูงใจในการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของพ่อลูกคู่นี้ก็คือ ความห่วงใยประเทศชาติ และต้องการให้ข้อมูลแก่เพื่อนร่วมชาติให้รู้เท่าทันการกระทำของพ่อลูกคู่นี้ว่าเขามีความต้องการอะไร การทำงานของเขาเป็นการกระทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน หรือเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

เนื้อหาในการวิพากษ์วิจารณ์ลูกสาวก็คือ ไม่มีความรู้ในระดับที่เรียกว่า “ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย” พูดจาเหมือนคนอับปัญญาไม่มีความสามารถ ทำอะไรไม่เป็น ไม่มีประสบการณ์เพียงพอที่จะมาทำหน้าที่ ทำงานไม่เป็น ปล่อยให้ประเทศชาติมีปัญหา แล้วก็ไม่มีปัญญาจะแก้ไข ไม่ว่าปัญหาทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม พฤติกรรมหลายอย่างแสดงให้เห็นว่าเป็นคนไม่มีวุฒิภาวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่เข้าใจ หรือไม่ใส่ใจเรื่องพิธีการ ทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรหลายเรื่องหลายอย่าง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยขายหน้าประชาคมโลก การแต่งตัวก็ไม่เหมาะสมกับหลายๆ งาน หลายๆ วาระ แม้ว่าเรื่องรสนิยมเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เรื่องการรู้จักกาลเทศะ และการทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ มันเป็นเรื่องของความเหมาะสม และเป็นการให้เกียรติเจ้าภาพและคนอื่นๆ ที่ร่วมกิจกรรมเดียวกัน เรื่องแบบนี้จะมาบอกว่าเป็นรสนิยมส่วนตัว หรือการเป็นคนทันสมัยในลักษณะของคน Gen Y ก็คงจะไม่ใช่

 ในขณะที่เธอโดนวิพากษ์วิจารณ์ ด่าทอต่อว่ารายวัน แต่เมื่อสำนักหนึ่งมีการวิจัยสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่องความพึงพอใจการทำงานของเธอหรือไม่ ผลของการสำรวจบอกว่าประชาชนมากกว่า 50% ชื่นชมการทำงานของเธอ ทำให้คนจำนวนมากสงสัยความถูกต้องเที่ยงตรงของการดำเนินการวิจัยว่าทำตามหลักวิชาการที่เป็นความตรงไปตรงมา ไม่มีอคติของคนทำการสำรวจในการออกแบบการวิจัยหรือไม่ สุ่มตัวอย่างให้เป็นตัวแทนที่ดีของประชากรหรือไม่ ตั้งคำถามได้เที่ยงธรรม หรือมีการชี้นำอย่างใดหรือไม่

นอกเหนือจะแสดงความสงสัยความเที่ยงตรงและความน่าเชื่อถือของผลวิจัยแล้ว บางคนก็ตกใจว่า ถ้าหากข้อมูลจากการวิจัยครั้งนี้มาจากการวิจัยที่ดำเนินการตามหลักวิชาการ ไม่มีความลำเอียงของผู้วิจัย แล้วคนที่เขาพอใจการทำงานของนายกรัฐมนตรี เขาคิดยังไง เขาพิจารณากันยังไง ก็พบว่าที่พอใจมากที่สุดก็คือการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ทั้งๆ ที่การแจกเงิน 10,000 ดังกล่าวนั้นเป็นการแจกเงินสด ไม่ใช่เงินดิจิทัลแต่อย่างใด และการที่ประชาชนพึงพอใจการแจกเงินมากกว่าเรื่องอื่นๆ เรื่องแบบนี้ มันน่าตกใจ ก็เพราะว่าข้อมูลมันชวนให้ตีความว่าประชาชนจำนวนมากพอใจกับการได้รับแจกเงินฟรีๆ ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับประเทศ รัฐบาลไม่มีทางที่จะมีเงินมาแจกได้เรื่อยๆ ถ้าหากกู้มาแจก ประเทศไทยก็ต้องเป็นหนี้ เรื่องการแจกเงิน ไปถามใคร คนส่วนใหญ่ก็ต้องพอใจ และอยากได้ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่านโยบายแบบนี้จะทำลายความมั่นคงด้านการเงินการคลังของประเทศ เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่าเอาผลการสำรวจมาโต้แย้งคนที่ไม่พอใจการทำงานของนายกรัฐมนตรี แล้วอย่ามาหาว่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีรายวันเป็นคนมีอคติหรือเป็นคนที่อิจฉาพ่อลูกคู่นี้เลยนะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ระหว่าง‘ศีลธรรม’กับ‘ความโง่’

วัน-สองวันก่อน...มีข่าวชิ้นเล็กๆ ในหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ คือ The Financial Times แต่เป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจอยู่ไม่น้อย ด้วยการอ้างรายงานการประเมินผลของหน่วยงานหน่วยหนึ่งใน

พัทยาโจรชุมกว่ายุง

โจรชุมยิ่งกว่ายุง เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี แหล่งท่องเที่ยวเลื่องชื่อ ชาวต่างชาติเข้ามาชมความงามทั้งช่วงกลางวันและยามค่ำคืน ปรากฏว่าร้านค้าภายในตลาดซอยบัวขาว

คาดผลตรีเทพย้ายราศีต่อคนลัคนาสถิตสิงห์

เดือนพฤษภาคมปี 2568 นี้ ดาวสำคัญทางโหรที่เรียกกันว่า ตรีเทพ อันได้แก่ พระราหูจร (8) เจ้าของความลุ่มหลงมัวเมา-ความมืด-อวิชชา หรือตัวแสบ-พระพฤหัสบดีจร

ไหวไหมลูกพ่อ...อยาก สทร. เป็นคนใน

พรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 โดยชี้ว่า เป็นต้นเหตุของความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งหมด

บทเรียนจาก 'ท่านปัญญาจารย์'

ด้วยเหตุเพราะอ่านหนังสือซะหมดบ้าน...จนแทบไม่เหลืออะไรจะอ่าน เลยต้องหันไปคว้า พระคัมภีร์ไบเบิล เล่มหนาๆ ระดับหนุนหัวนอนได้สบายๆ

โผปูทางโยกย้าย ต.ค.

การแต่งตั้งวาระเดือนเมษายน หรือที่เหล่าสีกากีเรียก "นายพลแก้มลิง" ขยับไปอีกหนึ่งขั้น เมื่อ บิ๊กกอล์ฟ-พล.ต.ท.อาชยน