
วัน-สองวันก่อน...มีข่าวชิ้นเล็กๆ ในหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ คือ The Financial Times แต่เป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจอยู่ไม่น้อย ด้วยการอ้างรายงานการประเมินผลของหน่วยงานหน่วยหนึ่งในองค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ที่รู้จักกันในนาม OECD นั่นคือหน่วยงานที่มีชื่อว่า PISA หรือ The Programmed for Student Assessment ซึ่งพยายามทำหน้าที่ประเมินความรู้ ความฉลาด ความโง่ ของพวกเด็กๆ ตั้งแต่อายุประมาณ 15 ปี หรือบรรดานักเรียนนานาชาติทั่วทั้งโลก นับแต่ปี ค.ศ.1990 มาโน่นเลย...
และโดยการประเมินล่าสุด...ก็ได้ข้อสรุปที่น่าหดหู่ ห่อเหี่ยว และน่าตกตะลึงพรึงเพริดมิใช่น้อย นั่นก็คือข้อสรุปที่ว่าโดยกระบวนการรับรู้ของพวกเด็กๆ ทั้งหลาย ที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากการอ่านหนังสือ-หนังหาแบบก่อนๆ กลายมาเป็นการดู วิดีโอ คอนเทนต์ กันในแต่ละเรื่อง แต่ละราว ได้ส่งผลให้เกิด ความสูญเสียทางปัญญา โดยเฉพาะในแง่ระบบการคิด การวิจารณ์ หรือนำไปสู่ ความเสื่อมต่อระบบการทำงานของความรับรู้ จนเกิดอาการ โง่ลง-โง่ลง อย่างเห็นได้ถนัดชัดเจน ไม่ว่าโดยการประเมินวัดผลทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือในด้านภาษาก็ตามที...
นี่...เลยต้องเรียกว่า เป็นอะไรที่น่าหดหู่ ห่อเหี่ยว น่าตกตะลึงพรึงเพริด อยู่พอสมควรทีเดียว เพราะไม่ว่าจะมีการทดสอบ ประเมินผล ศึกษาค้นคว้า ด้วยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์มาแล้วไม่รู้จะกี่ครั้งกี่หน ผลสรุปมันมักจะออกมาในแนวเดียวกันซะทุกทีไป นั่นก็คือ...มันสะท้อนให้เห็นถึงความ โง่ลง-โง่ลง ของบรรดาผู้คนรุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าประเภทที่ถูกเรียก หรือเรียกตัวเองว่า เจนเอ็กซ์ เจนวาย เจนแซด ฯลฯ หรือ เจน ใดๆ ก็แล้วแต่ อันเป็นอะไรที่น่าห่วง น่าวิตกกังวลมิใช่น้อย โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่มีระบอบการเมือง-การปกครองตามแบบฉบับ ประชาธิปไตย ทั้งหลาย ที่ต้องอาศัย เสียงส่วนใหญ่ เป็นตัววัดตัดสินในทุกเรื่อง ทุกราว แม้แต่เรื่อง ความดี-ความชั่ว ก็ตาม...
อย่างที่เคยยกตัวอย่างมาแล้วหลายครั้ง-หลายหน ถึงรายงานการวิจัยระดับลึกลงไปถึงยีน ถึงดีเอ็นเอของอภิมหานักวิทยาศาสตร์อย่าง ดร. Gerald Crabtree ว่าด้วยเรื่องความเปราะบางทางสติปัญญาของมนุษย์ หรือ Our fragile Intellect มาตั้งแต่ปี ค.ศ.2013 ที่ไม่เพียงแต่สรุปถึงอาการ โง่ลง-โง่ลง ของมนุษย์ แต่ยังถึงกับระบุไว้ด้วยว่า อาการดังกล่าวมันสามารถส่งผ่าน สืบทอดทางยีนและทางดีเอ็นเอได้ซะอีกต่างหาก สามารถส่งมอบ มรดกแห่งความโง่ ไปสู่ลูก หลาน เหลน โหลน จนทำให้สังคมแต่ละสังคม หรือโลกทั้งโลกย่อมเต็มไปด้วยความโง่และคนโง่ ชนิดมีแต่ต้องอาศัย ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ที่ได้สรุปไว้ว่า ต้องหาทางปลุกฟื้นคืนชีพสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม ขึ้นมาให้ได้ทันท่วงทีเท่านั้น ถึงจะสามารถช่วยให้เกิดระบบการเมือง-การปกครองที่เหมาะสม สอดคล้อง กับแต่ละสังคมขึ้นมาได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง...
ยิ่งเมื่อแต่ละสังคมถูกกระหน่ำ ซ้ำเติม ด้วยความก้าวหน้า ก้าวไกล ทาง เทคโนโลยี ด้วยแล้ว ไม่ว่าประเภทอินเทอร์เน็ต หรือวิดีโอ คอนเทนต์ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ยิ่งทำให้ความโง่ หรือ ความลาดเอียงทางสติปัญญา และ ความมั่นคงทางอารมณ์-ความรู้สึก ยิ่งมีแต่จะถดถอย เสื่อมโทรม ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น อันนี้...ก็มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ขององค์กรค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Nominet Trust มาช่วยยืนยัน นั่งยัน อย่างชนิดแทบเถียงไม่ออก โดยเฉพาะงานวิจัยที่ชื่อยาวอีเหลนเป๋น คือ The Impact of Digital Technologies on Human Wellbeing : Evidence from the Sciences of Mind and Brain หรือผลกระทบของเทคโนโลยีดิจิตอลต่อคุณภาพชีวิตของมนุษย์ไม่ว่าทางจิตหรือทางสมอง อะไรประมาณนั้น...
สรุปรวมความแล้ว...ด้วย แนวโน้ม เช่นนี้นี่แหละ ที่ได้กลายเป็นการตั้ง คำถาม ตัวโตๆ สำหรับสังคมแต่ละสังคมหรือกับโลกทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้ ว่าจะยอมปล่อยให้บรรดา ความโง่ เหล่านี้ เป็นตัวชี้วัด-ตัดสินความถูก-ความผิด ไปจนถึงความดี-ความชั่ว กันเลยหรือไม่? อย่างไร? โดยเฉพาะถ้าคิดจะเอา เสียงส่วนใหญ่ เป็นตัวตั้งไปซะทุกเรื่อง ทุกราว แทนที่จะเอา ศีลธรรม คุณธรรม หรือเอา ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เป็นตัวกำหนด...
ด้วยเหตุนี้...เอาเป็นว่า การที่เราได้ นายกรัฐมนตรีเจนวาย ขึ้นมาปกครอง-ดูแลบ้านเมือง สิ่งเหล่านี้จะนำพาเราไปสู่ความ รุ่งโรจน์ หรือ ฉิบหาย คงต้องแล้วแต่ รสนิยม ของใคร-ของมันเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ด้วย ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ หรือด้วยผลงานการวิจัย การศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ครั้งแล้ว-ครั้งเล่านั่นเอง ที่น่าจะถือเป็น คำตอบ ว่ายังไงๆ เราคงละทิ้งสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม-คุณธรรม ลงไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!!! ไม่ว่าจะปกครองกันด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบไหน ฉบับไหน...ก็ตามที.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โปรดดูโพลก่อนด่า...ประชาพอใจ
ตลอดระยะเวลาที่แพทองธารดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเวลาประมาณครึ่งปี เธออาจจะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ จนถึงระดับถูกด่าทอต่อว่ามากที่สุดของประเทศไทย
พัทยาโจรชุมกว่ายุง
โจรชุมยิ่งกว่ายุง เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี แหล่งท่องเที่ยวเลื่องชื่อ ชาวต่างชาติเข้ามาชมความงามทั้งช่วงกลางวันและยามค่ำคืน ปรากฏว่าร้านค้าภายในตลาดซอยบัวขาว
คาดผลตรีเทพย้ายราศีต่อคนลัคนาสถิตสิงห์
เดือนพฤษภาคมปี 2568 นี้ ดาวสำคัญทางโหรที่เรียกกันว่า ตรีเทพ อันได้แก่ พระราหูจร (8) เจ้าของความลุ่มหลงมัวเมา-ความมืด-อวิชชา หรือตัวแสบ-พระพฤหัสบดีจร
ไหวไหมลูกพ่อ...อยาก สทร. เป็นคนใน
พรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 โดยชี้ว่า เป็นต้นเหตุของความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งหมด
บทเรียนจาก 'ท่านปัญญาจารย์'
ด้วยเหตุเพราะอ่านหนังสือซะหมดบ้าน...จนแทบไม่เหลืออะไรจะอ่าน เลยต้องหันไปคว้า พระคัมภีร์ไบเบิล เล่มหนาๆ ระดับหนุนหัวนอนได้สบายๆ
โผปูทางโยกย้าย ต.ค.
การแต่งตั้งวาระเดือนเมษายน หรือที่เหล่าสีกากีเรียก "นายพลแก้มลิง" ขยับไปอีกหนึ่งขั้น เมื่อ บิ๊กกอล์ฟ-พล.ต.ท.อาชยน