
“ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด” ศึกในก็เหนื่อย ศึกนอกก็รุมล้อม หลังสภายุโรปมีมติประณามประเทศไทยจากกรณีส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน รวมถึงสหรัฐอเมริกาจำกัดวีซ่าเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง บอกว่า หากพูดเรื่องภาพรวมประเด็นที่ประเทศไทยมีการส่งชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีนนั้น ถือว่าเป็นอีกประเด็นที่ประชาชนและหลายประเทศต่างตั้งคำถามว่าทำไมถึงส่งกลับ และมีที่มาที่ไปอย่างไร และเกิดอะไรขึ้น รวมถึงการส่งกลับครั้งนี้ถูกกฎหมายหรือไม่ ตรงนี้รัฐบาลก็ต้องมีการ เตรียมความพร้อมในการตอบคำถามให้ชัดเจน
ขณะเดียวกัน รัฐบาลเองก็ต้องเผชิญกับคำถามด้านละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงแรงกดดัน ต่อประเทศ ในส่วนของการเจรจาตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป (อียู) ยอมรับว่าการที่สมาชิกสภายุโรปได้ลงคะแนนรับรองญัตติประณามไทยเรื่องการส่งชาวอุยกูร์กลับไปยังจีนเป็นการกดดันและเป็นอุปสรรคกับประเทศไทยพอสมควร แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ประเทศไทยควรจะเร่งดำเนินการการเจรจาตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป (อียู) ต่อไปให้สำเร็จตามเป้าหมาย ส่วนนี้จะเป็นตัวช่วยอย่างมากในการช่วยเร่งเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
“บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม บอกว่า เรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ชี้แจงแล้ว ซึ่งเป็นไปตามนั้น ขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ถามว่าจะส่งผลกระทบกับการเดินทางไปร่วมประชุมที่สหรัฐหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้น อย่าเพิ่งไปคิด โดย กต.ชี้แจงทุกอย่างชัดเจนแล้ว ขอให้ยึดสาระที่ กต.ได้ชี้แจง ซึ่งตนคิดว่า เหตุผลตรงนั้นเพียงพอ คนอื่นไม่ควรจะต้องแสดงความเห็น
พิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะจากการประชุมทางไกลกับนายมารอส เซฟโควิช กรรมาธิการยุโรปด้านการค้าความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร และความโปร่งใส เพื่อผลักดันการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2568 ทั้ง 2 ฝ่าย แสดงจุดยืนร่วมกันที่จะเร่งการเจรจาให้จบโดยเร็ว
“การบรรลุข้อตกลงจะขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน รวมถึงลดอุปสรรค และอำนวยความสะดวกทางการค้า เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการของ 2 ฝ่ายให้มากขึ้น”
สำหรับบรรยากาศการพูดคุยเป็นไปได้ ด้วยดี ทั้ง 2 ฝ่ายแสดงจุดยืนร่วมกันที่จะเร่งรัดการเจรจาให้เสร็จโดยเร็ว ซึ่งได้แจ้งไปว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องการให้จบภายในปี 2568
รวมทั้งไม่ได้พูดถึงประเด็นการส่งกลับอุยกูร์หรือนำประเด็นการเมืองหรือปัญหาอื่นมากดดันไทย และไม่น่าจะทำให้การเจรจาหยุดชะงัก หรือยกเลิกการเจรจา ซึ่งฝ่ายอียูระบุว่าการเจรจาจะให้จบภายในวันที่ 25 ธ.ค.2568
ทั้งนี้ ผลการเจรจาจะออกมาอย่างไรอยู่ที่การต่อรอง โดยหากอียูเสนอประเด็นที่ไทยทำไม่ได้ก็จะไม่รับ โดยคณะเจรจาฝ่ายไทยย่อมเจรจาด้วยการคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ
นอกจากนี้ ข้อตกลงการค้าเสรีเป็นสิ่งสำคัญท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยไทยและอียูมีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจต่างกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อข้อกำหนดในข้อตกลง แต่ความยืดหยุ่นและความช่วยเหลือทางวิชาการจากอียูจะช่วยให้การเจรจาประสบความสำเร็จเร็วขึ้น
ส่วนศึกในก็เป็นเรื่องซักฟอกในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน มี.ค. ล่าสุด นายกฯ นัดหัวหน้าพรรคร่วมหารือในวันที่ 21 มี.ค. อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขยายความว่า นายกรัฐมนตรีเป็นคนนัดเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจขอเจอกันอีกรอบหนึ่ง” ซึ่งการนัดกันครั้งนี้จะเป็นวงเล็ก จะเจอกันเฉพาะหัวหน้าพรรค ไม่มีเลขาธิการพรรค แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ยังไม่ทราบรายละเอียด
เมื่อถามย้ำว่า การที่นายกรัฐมนตรีนัดดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะมีความกังวลอะไรหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ไม่มีการนัดกันก่อน แต่เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ยังไม่รู้ว่าจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจใครบ้าง ซึ่งตอนนี้ชัดเจนแล้ว และคงจะเป็นการนัดเพื่อเตรียมข้อมูล.
คางดำ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
ติดตามสถานการณ์การเมืองในช่วงนี้ เหมือนจะเป็นละคร “ตบจูบ” เรียกเรตติ้งคนดูได้ แต่ชีวิตจริงของคนในสังคมยิ่งกว่า “ละครน้ำเน่า” เพราะปัญหาความเป็นอยู่ ปากท้อง เป็นเรื่องจริงไม่อิงนิยาย แต่ทำให้ “จุกอก” กันทุกหย่อมหญ้า ...วันประชุม ครม. อังคารก่อน
บันทึกหน้า 4
เปิดบันทึกเริ่มต้นสัปดาห์นี้ ปัญหาการเมืองภายใน ดูเหมือนกลายเป็นเรื่องสิวๆ ไปเลย เมื่อเทียบกับประชาคมโลกตะวันตกจับมือกันถล่ม "ประเทศไทย" ในข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน ว่าด้วยกรณีอุยกูร์!!
บันทึกหน้า 4
ต้องเรียกว่า “สมน้ำหน้า” รัฐบาลนายกฯ เจนวายเสียจริงๆ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 มีคำสั่งไม่รับคำร้องของรัฐบาลที่ให้ “ชูศักดิ์ ศิรินิล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทำหนังสือให้ศาลวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ในคำว่า “มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”
บันทึกหน้า 4
ที่ประชุม ครม.เมื่อวันอังคารยังไม่พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือบ่อนกาสิโน ขณะเดียวกัน ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.)
บันทึกหน้า 4
ไฮไลต์การเมืองจับตาว่าศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเกิดขึ้นหรือไม่ หลังประธานสภาฯ ขอให้ฝ่ายค้านที่นำโดยพรรคประชาชน (ปชน.) ถอนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ออกจากญัตติ แต่พรรคฝ่ายค้านก็ไม่ยอม และที่สำคัญทั้งสองฝ่ายยังดึงดันตามความเห็นตัวเอง ก็ไม่ทราบว่าสุดท้ายจะจบอย่างไร
บันทึกหน้า 4
...เริ่มต้นบันทึกวันนี้ ด้วยคำถามคาใจ!!! ฝ่ายนิติบัญญัติกำลังช่วยปกป้องนายกฯ "แพทองโพย" หรือปกป้องใครกันแน่? ...0 ไม่มีกั๊กไม่ต้องสงวนท่าทีกันแล้วกับข้อครหา พรรคประชาชาติเป็น "พรรค subset " ของเพื่อไทย เมื่อ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เล่นเกินบท "ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ" สั่งฝ่ายค้าน ..ห้ามแตะ "ทักษิณ" ถ้ายังอยากให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ