
วันนี้ขอย้อนกลับไปยุคที่ไม่ห่างปัจจุบันมากนัก แต่ต่างจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง
ผมจะไม่ย้อนกลับไป 20-30 ปี จะย้อนแค่ 5 ปีเท่านั้น ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่โลกหยุดหมุนชั่วคราวอย่างจริงจัง เป็นยุคที่ Corona Virus กำลังระบาด ทำให้โลกของเราอยู่ในความมืดมน อยู่ในความสับสน อยู่ในความงง บวกกับความกลัว และความไม่แน่นอน
Corona Virus ณ ตอนนั้นยังเป็นโรคใหม่อยู่ คนทั่วไปเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง รู้แต่ว่าถ้าออกไปข้างนอกต้องห่างผู้คนพอสมควร ห้ามใกล้ชิด
ห้ามสัมผัส และสำคัญที่สุด ห้ามไอและจามในที่สาธารณะ ถ้าจามหรือไอเมื่อไหร่จะกลายเป็นปีศาจทันที พอจำกันได้ไหมครับ? เหมือนเราอยู่คนละโลก เหมือนอยู่คนละสมัย
แต่ 5 ปีที่แล้วไม่นาน ผมยังจำความกลัวและความกังวล ที่ผมและครอบครัวมีต่ออนาคตพวกเรา สังคมและโลก เพราะไม่รู้ว่า Corona Virus จะบานปลายมากน้อยขนาดไหน ไม่รู้จะจบเมื่อไหร่ จะจบอย่างไร เพราะยังไม่มีข้อมูลมากมายที่จะเข้าใจ อย่าว่าแต่มันจะจบอย่างไร ณ ช่วงนั้นมันเพิ่งเริ่มด้วยซ้ำ
ที่ผมบอกว่าโลกหยุดหมุนชั่วคราว เพราะเป็นช่วงเวลาที่ห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยว อีเวนต์ต่างๆ ระดับโลก ต้องยกเลิก ต้องปิด และต้องหยุด เป็นช่วงที่ฤดูการแข่งขันบาสเกตบอล (NBA) ต้องประกาศระงับฤดูกาลที่เหลือกลางคัน ผมยังจำภาพตอนที่ประกาศระงับฤดูกาลที่เหลือ มันเป็นช่วงเริ่มต้นการแข่งขันเกมหนึ่งพอดี ยังไม่ทันได้เริ่ม เขาต้องประกาศยุติทันที ทุกคนต้องกลับบ้าน กลับบ้านด้วยความกังวล กลับบ้านด้วยความงง และกลับบ้านด้วยความกลัว
ตอนนี้เวลามองย้อนกลับไป รู้สึกขำได้ แต่ตอนนั้นมันเป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ท่ามกลางบรรยากาศ ข้อมูลแพร่หลาย แต่เป็นข้อมูลเท็จบ้าง จริงบ้าง มั่วบ้าง และถึงแม้จะมีข้อมูลอะไรออกมาก็ตาม พวกเรายังไม่รู้ทั้งหมด ยังไม่เข้าใจทั้งหมด และมีคำถามอีกแสนล้านคำถามต่อทุกหนึ่งคำตอบ
อย่าลืมว่ายุคนั้นเป็นยุคที่เราแตะต้องอะไรไม่ได้ ถ้าออกไปซื้อของต้องแต่งตัวปิดมิดชิด ใส่ทั้งหน้ากาก ใส่ทั้งเสื้อแขนยาว ขายาว ให้คลุมทุกส่วนของร่างกาย เพื่อปกป้องสิ่งที่เราไม่รู้ เพราะช่วงนั้นเราออกจากบ้านกันไม่ได้ ช่วงนั้นทุกคนต้องกักตัวในบ้าน ทำงานจากบ้าน เรียนหนังสือจากบ้าน
ผมพูดอยู่เสมอว่า Corona Virus เป็นโรคที่ชนชั้นกลางและผู้มีฐานะ ต่อสู้และทำตามทุกมาตรการได้ แต่คนจน คนที่อยู่ในชุมชนแออัด โรคนี้ร้ายแรงที่สุด เพราะคนมีฐานะ มีบ้านที่อำนวยความสะดวกในการแยกตัวกัน มีพื้นที่และเนื้อที่ให้นั่งห่างกันได้ แต่สำหรับคนยากจน สำหรับคนที่อยู่ในชุมชนแออัด ชีวิตประจำวันคือความใกล้ชิดและสัมผัสกัน เพราะไม่มีทางเลือกอื่น
บวกกับความงง ความกลัว และความกังวลนั้น เราอยู่ในยุคที่มีผู้นำที่สื่อข้อมูลออกสู่สาธารณะไม่ได้เรื่อง อย่าเพิ่งไม่พอใจผม ผมเข้าใจว่าผู้นำในยุคนั้นเป็นผู้นำที่แฟนไทยโพสต์ (เกือบทั้งหมด) ชื่นชมและศรัทธา เพราะ “เป็นคนดีที่รักสถาบัน” แต่บางครั้งพวกเราต้องแยกแยะ “คนดีเพราะรักสถาบัน” กับการบริหารบ้านเมือง เพื่อความ Fair ครับ ผมไม่ได้ว่าผู้นำยุคนั้นเพื่อต่อว่าเฉยๆ แต่การเป็นผู้นำ….ยิ่งผู้นำในวิกฤต….หน้าที่หลักคือต้องให้ราษฎรเข้าใจสถานการณ์ และมั่นใจในทิศทางการจัดการปัญหา
ผมเข้าใจผู้นำทุกคนยุคนั้นว่ากำลังเจอโรคที่ไม่เคยเจอมาก่อน กำลังเจอสภาวะและสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ไม่คาดฝัน ดังนั้น ในการที่ไม่รู้ว่าโรคเป็นอย่างไร ผมไม่ว่า ผมเข้าใจครับ แต่หน้าที่ของคุณคือต้องเป็นที่พึ่งของพวกเรา การเป็นผู้นำคือสร้างความมั่นใจ ท่ามกลางบรรยากาศหวาดกลัว
แต่ผู้นำในยุคนั้นสอบตกอย่างรุนแรง ไม่สามารถสื่ออะไรให้คนทั่วประเทศรู้สึกมั่นใจได้ว่ารัฐบาลมีแนวทางออกจากวิกฤตได้ ผมรู้ว่าผมพูดไป หลายท่านไม่น่าจะพอใจ แต่ผมขอให้พวกเราวางความรู้สึกไว้ และย้อนเวลากลับไปรื้อฟื้นความทรงจำ ค้นคว้าข้อมูล แล้วคุณก็จะเห็นความจริงครับ ผมไม่ได้หมายความว่าผู้นำยุคนั้นไม่เป็นคนดี ผมเพียงบอกว่าเขาทำหน้าที่หลักของเขาไม่ผ่าน
เพราะผมเชื่อว่าหลายคนคงลืมบรรยากาศความงง ความกลัว เนื่องจากพวกเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าครอบครัวจะรอดไม่รอด เป็นยุคที่มืดมนจริงๆ ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่าผมเขียนเกินเลยหรือเปล่า? ดรามาไปนิดหนึ่งไหม? ถ้ามองย้อนกลับไปจากวันนี้สู่วันนั้น มองย้อนกลับไปอาจจะรู้สึกดรามาก็ได้ แต่ช่วงเวลานั้น ด้วยข้อมูลที่มีอยู่ มันน่ากลัวจริงๆ ครับ
หลายคนกังวลว่าธุรกิจจะเจ๊งหรือไม่ มนุษย์เงินเดือนกังวล (เมื่อต้องอยู่บ้าน) ต้องอยู่บ้านนานแค่ไหน นายจ้างยังจะจ้างต่อได้หรือไม่ ทุกคนกังวลหมดครับ เงินไม่เข้า แต่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งไม่รู้จะจบเมื่อไหร่ และไม่รู้จะรุนแรงอีกแค่ไหน
ยังไม่ได้พูดถึงตัวโรคนะครับ สำหรับบ้านไหนที่มีผู้สูงอายุยิ่งน่าเป็นห่วง จำกันได้ไหม ใครที่ติด Corona Virus เป็นสายพันธุ์ Delta ที่รุนแรงมากๆ ติดปุ๊บต้องเข้าโรงพยาบาลปั๊บ ไม่มีข้อแม้ จะรวยจะจน ถ้าติด Delta เมื่อไหร่ กลัวจะไม่รอดมาเลย ส่วนเรื่องวัคซีน กลายเป็นประเด็นสู้กันทางการเมืองไป ระหว่างฝ่ายไม่เอาสถาบัน กับฝ่ายอนุรักษ์สถาบัน สู้กันไปสู้กันมา ในที่สุดคนไทยไม่ได้อะไร เพราะยังอยู่ท่ามกลางความกังวลและสับสน เนื่องจากผู้นำประเทศสื่อสารข้อเท็จจริงไม่เป็น
กลุ่มคนที่สร้างความเชื่อมั่น ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม (ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขา) คือกลุ่มแพทย์และกลุ่มสาธารณสุข ท่านเหล่านี้ให้ข้อมูลทุกวัน ข้อมูลเชิงวิชาการ ให้พวกเราเข้าใจ ให้มีความหวัง และมีข้อมูลเห็นอนาคต เห็นทางออก เข้าใจปัจจุบัน และรู้วิธีจัดการกับโรคนี้ได้ ทีมแพทย์ ทีมสาธารณสุข ฝ่ายประจำ ฝ่ายข้าราชการ ฝ่ายวิชาชีพ ท่านเหล่านี้เป็นวีรบุรุษและวีรสตรี นำพาพวกเรารอดพ้นออกจากวิกฤต ไม่ใช่ฝ่ายการเมืองแม้แต่นิดเดียวครับ ฝ่ายการเมืองทำให้สับสน ทำให้อึดอัด ทำให้สถานการณ์แย่ลงด้วยซ้ำ
5 ปีที่แล้วเป็นยุคที่พวกเราไม่รู้อนาคต ไม่รู้จะรอดหรือไม่รอด การที่โลกหยุดหมุนนั้นไม่ใช่ปกติและไม่ใช่ธรรมดา ทุกคนกลัวหมดครับ ทุกคนกังวล อย่าปัดเรื่อง Corona Virus เป็นเพียงเรื่องขำๆ เรื่องตลกๆ ในอดีต พวกเราทุกคนรอดพ้นยุคที่เกือบมืดด้วยดี จนกลายเป็นอดีตเสียแล้ว กลายเป็นประวัติศาสตร์ แต่เป็นอดีตและประวัติศาสตร์ที่ไม่ห่างไกลพวกเราขนาดนั้น เรายังเรียนรู้จากเหตุการณ์ได้ ถ้าเปิดใจและยอมรับความเป็นจริง
แต่กลัวหลายคนจะตาบอดเพราะ…อารมณ์.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
2568 อันธพาลครอง.....ทำเนียบขาว!!!
วันนี้ผมมาช้า แต่ช้าดีกว่าไม่มา วันนี้ผมอยากพูดถึงเรื่องการ “ปะทะ” ระหว่าง ประธานาธิบดี Donald Trump กับประธานาธิบดี Volodomyr Zelensky เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ Zelensky เยือนทำเนียบขาว อย่างเป็นทางการ ผมจะไม่เสียเวลาใคร วิเคราะห์ว่า พฤติกรรม Trump ไม่เหมาะสมอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะสำหรับใครที่คิดว่าการกระทำของ Trump ถูกต้องอยู่ พูดไปก็เท่านั้นแหละครับ
THANK YOU, NICO!!!!!!
ผมขอแสดงความนับถือ และขออวยพรให้พี่น้องชาวมุสลิมทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง และมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง ตลอดช่วงรอมฎอนปีนี้ครับ
Game of Thrones ภาคฟิลิปปินส์ (ตอนจบ)
เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้ปูทางและเล่าที่มาที่ไปของความขัดแย้งระหว่าง “บ้านใหญ่” 2 ตระกูลในแวดวงการเมืองฟิลิปปินส์ ตระกูลหนึ่งเป็น “บ้านใหญ่”
Game of Thrones ภาคฟิลิปปินส์ (ตอนที่ 1)
ถ้าชอบเรื่องการเมือง ถ้าชอบดรามา ถ้าชอบดรามาการเมืองนั้น ผมว่าแฟนคอลัมน์สามารถติดตามการเมืองภายในประเทศทุกประเทศ ทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น
ถูกใจ....ถูกต้อง?
ผมรู้สึกโล่งใจที่สภาพอากาศกลับมาสู่สภาพปกติ (มากกว่าเดิม) ถึงแม้จะไม่ใสสะอาดเท่าที่ควรก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าช่วงที่มีฝุ่นหนาทั่วบ้านทั่วเมือง
ประวัติศาสตร์กำลังเกิดขึ้น?
ขอบ่นต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนนิดหนึ่งครับ จะเรียกว่าถอนหายใจ หรือกลั้นหายใจ มันพูดยาก เพราะจะถอนหรือกลั้นหายใจนั้น ผมกลัวจะไอและสำลักขึ้นมาทันที เนื่องจากต้นสัปดาห์