
จากกรณีอุบัติเหตุรถโดยสารไม่ประจำทางหมายเลขทะเบียน 30-0040 บึงกาฬ บรรทุกเจ้าหน้าที่คณะดูงานเทศบาลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ จำนวน 49 ราย (รวมคนขับรถ) ประสบอุบัติเหตุเสียหลักพลิกคว่ำตกข้างทางบน ทล.304 บริเวณตำบลบุพราหมณ์ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นเหตุทำให้มีผู้โดยสารเสียชีวิต 18 ราย และบาดเจ็บ 31 ราย เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา แน่นอนว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยและสร้างความมั่นใจให้ประชาชน
ล่าสุด นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะกำกับดูแลกรมขนส่งทางบก (ขบ.) ได้ประชุมเร่งรัดมาตรการเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะไม่ประจำทาง โดยได้กำหนดมาตรการเพิ่ม 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.จำกัดเขตพื้นที่ (โซนนิ่ง) สำหรับรถโดยสาร 2 ชั้น ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 7 พันคันทั่วประเทศ แบ่งเป็น รถโดยสารประจำทาง (10) กว่า 1 พันคัน และรถโดยสารไม่ประจำทาง (30) กว่า 5 พันคัน โดยจะไม่ให้วิ่งในเส้นทางทั่วประเทศที่มีความเสี่ยง และมีข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
โดยได้มอบให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) หารือร่วมกับกรมทางหลวง (ทล.) สำรวจ และกำหนดจุดเสี่ยงทั่วประเทศว่ามีกี่จุด และจุดใดบ้าง โดยเฉพาะจุดในพื้นที่ที่มีความลาดชันมากกว่า 5% และมีความโค้งต่อเนื่องมากกว่า 2 กิโลเมตร (กม.) อาทิ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 บริเวณ ต.บุพราหมณ์ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี, ทล.12 สายตาก-แม่สอด และ ทล.108 สายเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน เป็นต้น
พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้ประกอบการทราบ โดยจะต้องแล้วเสร็จและมีผลบังคับใช้ภายใน 30 วันหลังจากนี้ ก่อนเทศกาลสงกรานต์เดือน เม.ย.2568, 2.ยกระดับ GPS ใช้งานในเชิงป้องกันสื่อสาร 2 ทาง โดยให้สามารถแจ้งเตือนผู้ขับขี่ในจุดที่มีความเสี่ยง และเกิดอุบัติเหตุ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายใน 4 เดือนหลังจากนี้
ขณะเดียวกันให้จัดทำ Safety Ratings รถโดยสารสาธารณะ และการเร่งรัดแผน/มาตรการด้านความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะให้มีความปลอดภัยทุกมิติ รวมทั้งเพิ่มความเข้มข้นหลักสูตรสำหรับผู้ขับรถบริเวณที่มีทางลาดชัน อาทิ การใช้เกียร์ การตรวจสอบมาตรวัดแรงดันลม เป็นต้น, 3.ให้ ทล.ติดตั้งป้ายเตือนจุดเสี่ยง (Black Spot) ป้ายแนะนำการขับรถลงเขา โดยระบุให้ใช้เกียร์ 2 เท่านั้น ป้ายเตือนรถโดยสารให้เข้าจุดลงเวลารถโดยสาร และป้ายเตือนล่วงหน้าก่อนถึงช่องหยุดรถฉุกเฉิน ทั้งนี้ในจุดเกิดเหตุบน ทล.304 บริเวณ ต.บุพราหมณ์ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ให้ซ่อมแซมแบริเออร์ และเสาไฟส่องสว่างที่ชำรุดให้สามารถใช้งานได้ พร้อมทั้งจัดทำจุดพักรถเพิ่มเติม โดยต้องแล้วเสร็จก่อนเทศกาลสงกรานต์นี้
4.ให้ย้ายจุด Check Point รถโดยสารสาธารณะบน ทล.304 ไปอยู่อีกฝั่ง เนื่องจากปัจจุบันจุดดังกล่าวเส้นทางขาขึ้น-ขาล่องอยู่ฝั่งเดียวกัน พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการขนส่งเข้าจุดพักรถโดยสารตามข้อบังคับพนักงานจราจรจังหวัดปราจีนบุรีด้วย และ 5.ออกประกาศปรับปรุงระเบียบมาตรฐานรถโดยสารไม่ประจำทาง ให้เป็นมาตรฐานเดียวกับรถโดยสารประจำทาง อาทิ มีพนักงานขับรถ 2 คน จากเดิมมีพนักงานขับรถ 1 คน เพื่อสร้างความมั่นใจในการเดินทางให้กับประชาชน โดยให้เริ่มดำเนินการทันที
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรถโดยสารสองชั้น ไม่ได้มีการอนุญาตให้จดทะเบียนใหม่แล้ว โดยตั้งแต่ปี 2560 กฎหมายกำหนดให้มีความสูงได้ไม่เกิน 4 เมตร ซึ่งจะทำเป็นรถสองชั้นได้ค่อนข้างยาก นับตั้งแต่นั้นก็ไม่มีการจดทะเบียนรถโดยสารสองชั้นอีก สำหรับกรณีอุบัติเหตุล่าสุดที่ ทล.304 นั้น จากการตรวจสอบพบว่าพนักงานขับรถขับมาด้วยความเร็ว 85 กม.ต่อชั่วโมง ขณะที่กฎหมายกำหนดให้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 90 กม.ต่อชม. GPS จึงไม่ได้มีการแจ้งเตือน แต่เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางลงเขาที่เป็นทางโค้งต่อเนื่อง จึงเป็นการใช้ความเร็วที่ไม่เหมาะสม
จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นหลายครั้งที่ผ่านมา จึงทำให้ต้องกลับไปดูถึงมาตรฐานความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะที่มักถูกสังคมตั้งคำถามว่าอยู่ไหน?? ต้องยอมรับผลกระทบทางลบที่สำคัญจากการพัฒนาระบบการคมนาคมที่มุ่งเน้นตอบสนองการใช้รถส่วนบุคคล และบ่อยครั้งที่จะได้เห็นภาพข่าวปรากฏตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับอุบัติเหตุของรถโดยสารที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นข้อสงสัยถึงที่มาและสาเหตุของความสูญเสียในแต่ละครั้ง
ดังนั้น แม้ว่าหน่วยงานภาครัฐจะคุมเข้มตรวจสอบก็ไม่สามารถหยุดยั้งการเกิดอุบัติเหตุได้ ถ้าผู้ประกอบการยังไร้จิตสำนึกในการกวดขันและตรวจสอบรถโดยสารทุกครั้งที่ออกไปให้บริการ.
กัลยา ยืนยง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ผนึกพลังพัฒนากำลังคน
ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก เทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว และการแข่งขันด้านต้นทุนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คำถามสำคัญของอุตสาหกรรมไทยไม่ใช่เพียง “จะผลิตอย่างไรให้ได้มากขึ้น” แต่คือ “จะสร้างคนและองค์ความรู้แบบใดให้ยืนระยะในเวทีสากลได้จริง”
ปีใหม่เป้าลดอุบัติเหตุ 5%
ช่วงเทศกาลปีใหม่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ประชาชนจำนวนมากออกเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยว ส่งผลให้ปริมาณการใช้รถใช้ถนนเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว และมักตามมาด้วยความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุทางถนน
เมื่อสุขภาพคือความลักชัวรีแบบใหม่
ในยุคที่ผู้คนต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ ทำให้เทรนด์นี้ยังคงมาแรงต่อเนื่อง ซึ่งก็มีข้อมูลที่น่าสนใจจากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กับข้อมูลสุดอินไซต์ “ภูมิทัศน์การดูแลสุขภาพของคนไทย” รับเทรนด์เศรษฐกิจอายุยืน
องค์กรต้องกล้าเปลี่ยนผ่าน
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและแรงกดดันด้านความยั่งยืนที่เข้มข้นขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวรองรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่ง สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
แรงงานคืนถิ่น:ทางเลือกที่เป็นโอกาส
‘การเคลื่อนย้ายแรงงาน’ จากภูมิลำเนาเข้าสู่จังหวัดเศรษฐกิจเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานตอนต้น ซึ่งเป็นกำลังแรงงานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา อย่างไรก็ตาม
ดันไทย-ญี่ปุ่นปักธงอุตสาหกรรม
ในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และเป้าหมายด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ความสามารถของประเทศในการปรับตัวและสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมไปสู่ยุคใหม่ที่เน้นมูลค่าสูงและมาตรฐานที่เข้มงวด

