ทำผิดอะไร...ทำไมต้องช่วยSave

ตามปรกติแล้ว เวลามีสิ่งดีงามถูกคุกคามให้เกิดความเสียหาย ก็จะมีคนตั้งเพจขึ้นมาใน Social media ว่า Save นั่น Save นี่ หมายถึงช่วยกันปกป้องสิ่งดีงามที่มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังจะทำให้เสียหาย หรือต้องการให้มีอันเป็นไป ด้วยการด้อยค่า ด่าทอ สร้างข่าวบิดเบือนให้ร้ายสิ่งที่ดีงามเหล่านั้นให้คนบางกลุ่มหลงเชื่อ และเมื่อหลงเชื่อแล้วก็จะทำตัวเป็นแนวร่วมในการทำลายสิ่งดีงามนั้น

ในความพยายามที่จะรักษาสิ่งดีงามที่กำลังมีกลุ่มคนคิดจะทำลาย นอกจากเขียนข้อความในเพจที่ตั้งขึ้นมาใน Social media แล้ว บางคนก็

ลงทุนทำ Sticker เขียนข้อความว่าให้เราช่วย Save อะไร เอาไปติดตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะหลังรถยนต์ บางคนก็ทำเสื้อที่มีข้อความเชิญชวนให้ช่วยกัน Save สิ่งดีๆ ที่มีคนพยายามจะทำลาย เรื่องแบบนี้จะมีมากน้อยแค่ไหน มีแนวร่วมมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่กำลังจะถูกทำลายนั้นมีความสำคัญแค่ไหน ถ้าหากสำคัญมากก็จะมีคนออกมาแสดงตนช่วย Save สิ่งนั้นกันเป็นจำนวนมาก

แต่สัปดาห์ที่ผ่านมา คำว่า Save ถูกนำมาใช้ในเรื่องที่แตกต่างการ Save สิ่งดีงามที่กระทำกันมา เพราะเมื่อมีคนสอบถามเรื่องการรายงานทรัพย์สินของนายกรัฐมนตรี เธอไม่ตอบ ไล่ให้นักข่าวไปถามทนายความ แล้วก็บ่นว่าไม่ Save นายกรัฐมนตรีเลย และยังบ่นนักข่าวที่ถามเรื่องนี้อีกว่าไม่ Save นายกรัฐมนตรีเลย เรื่องนี้ขออนุญาตอ่านระหว่างบรรทัดนะ การที่ขอให้ทนายช่วย Save นายกรัฐมนตรีนั้นเป็นเพราะนายกรัฐมนตรีทำอะไรที่ไม่ดีไม่งาม หรือผิดกฎหมายหรือเปล่า จึงไม่คิดที่จะตอบคำถามของนักข่าวด้วยตนเอง ที่ไม่ตอบเองนั้น เกรงว่าจะระมัดระวังไม่เป็น และพูดบางสิ่งบางอย่างที่กลายเป็นพยานหลักฐานที่จะมัดตัวในภายหลังหรือเปล่า ที่จ้างทนายไว้นี่ ไม่ใช่เป็นเพียงเป็นที่ปรึกษาเรื่องกฎหมาย แต่เอาไว้ช่วยหาทางช่วยอธิบายเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูกใช่หรือเปล่า และเมื่อถูกถามคำถามที่ตัวเองไม่กล้าตอบเช่นนี้ จึงมีการต่อว่าต่อขานทนายว่าไม่ช่วย Save นายกรัฐมนตรี ฟังแบบนี้แล้ว สงสารคนเป็นทนายจังเลย ไม่รู้ว่าต้องทำสิ่งที่ขัดต่อมโนสำนึกที่ดีๆ กี่ครั้ง

ส่วนที่พูดว่าสื่อมวลชนไม่ช่วย Save นายกรัฐมนตรีเลย คนที่เขาอ่านระหว่างบรรทัดบางคน เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า มีการจ้างสื่อมวลชนบางคน บางสำนักไว้ใช่ไหรือไม่ จึงต่อว่าต่อขานว่าไม่ช่วย Save นายกรัฐมนตรีเลย จะผิดไหมถ้าจะมีคนอ่านระหว่างบรรทัดว่า “ฉันอุตส่าห์จ้างพวกเธอไว้ให้คอยทำข่าวช่วยฉัน อวยฉัน ชมฉัน ไม่เอาเรื่องไม่ดีไม่งามของฉันมาเผยแพร่ แล้วทำไมเรื่องนี้ที่ฉันพูดไม่ได้ ตอบลำบาก พวกเธอจะมาถามฉันทำไม พวกเธอต้องช่วยอธิบายให้ประชาชนเห็นว่าฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสิ เธอจะมาถามฉันเรื่องแบบนี้ได้ยังไง” การอ่านระหว่างบรรทัดที่ว่านี้อาจจะผิดก็ได้ แต่ก็คงห้ามคนให้คิดแบบนี้ไม่ได้ทั้งหมดหรอกนะ เพราะคนส่วนใหญ่เขาคิดว่า ถ้าหากคำตอบสำหรับสิ่งที่ถูกถาม มันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอะไร คนถูกถามก็น่าจะตอบได้ ไม่ต้องพึ่งทนาย และไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไปขอร้องให้ทนายและสื่อมวลชนช่วย Save คนพูดจริง พูดเองได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องให้ใครมาพูดแทน คนที่ไม่กล้าพูดความจริง แต่ต้องแต่งเรื่องเพื่อให้ไม่พูดอะไรที่จะมัดตัวว่าทำความผิด ย่อมไม่กล้าพูดเอง ต้องอาศัยทนายที่มีความรู้ด้านกฎหมาย และเรื่องที่จะทำให้คนสงสัยความโปร่งใสของตน ย่อมไม่อยากให้สื่อมวลชนนำมาเผยแพร่ สื่อมวลชนที่เป็นแนวร่วม มีหน้าที่ต้องอวยให้คนที่จ่ายเงินดูดีเท่านั้น ตกลงบ้านเมืองเราอยู่ในสภาพเช่นนี้ ใช่ไหม ถ้าหากว่าใช่ ก็น่าเป็นห่วงนะ

เรื่องการรายงานทรัพย์สินของนายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะเปิดเผยอย่างโปร่งใส ไม่ได้ปกปิดอะไร แต่ต้องยอมรับว่ามีรายการหลายรายการที่ผู้คนยังสงสัย ยังไม่อาจจะเชื่อสนิทใจว่าเป็นการรายงานทรัพย์สินที่ครบถ้วน และเป็นความจริงไปทุกเรื่อง และในฐานะที่นายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลสาธารณะ และจะมาทำหน้าที่ในการบริหารประเทศที่มีงบประมาณหลายล้านล้านบาท ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะเคลือบแคลงระแวงสงสัยสิ่งที่ไม่ชัดเจน นายกรัฐมนตรีก็มีหน้าที่ชี้แจง เพื่อให้ความเคลือบแคลงทั้งหลายหมดไป ทำให้ประชาชนมั่นใจในความโปร่งใส และความมีธรรมาภิบาลของคนที่จะมาเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ ส่วนการที่ประชาชนเขามีความเคลือบแคลงนั้น ก็จะมาโทษประชาชนไม่ได้ เขาสงสัย เขาระแวงความโปร่งใส ก็เพราะมันมีประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยพ่อว่าบริหารประเทศโปร่งใสเพียงใด มีจริยธรรมแค่ไหน ปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลหรือไม่ มีคดีทุกจริตที่ศาลตัดสินว่าผิดจริงไปแล้วกี่คดี และที่ยังรอคำตัดสินอีกกี่คดี และพ่อยังพูดว่าลูกสาวได้ DNA ของพ่อมา ประชาชนก็ยิ่งตกใจว่าได้ DNA ในเรื่องไหนของพ่อมา ถ้าเป็นด้านที่ทำให้พ่อมีคดีและถูกตัดสินให้ติดคุก มันก็เป็นเรื่องที่น่าห่วงไม่ใช่หรือ เรื่องแบบนี้ห้ามความรู้สึกของประชาชนไม่ได้หรอกนะ

เวลาที่นายกรัฐมนตรีไม่สามารถตอบคำถามที่ไม่มีโพย ตอบคำถามสดๆ ไม่ได้ ประชาชนก็ไม่ได้สงสัยเรื่องจริยธรรม หรือการทำผิดกฎหมายใดๆ คิดแต่เพียงว่าเธอคงไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไม่มีปัญญา จึงไม่สามารถตอบคำถามสดๆ ที่ผู้สื่อข่าวถามได้อย่างที่คนเป็นนายกรัฐมนตรีควรจะทำได้ แต่การไม่ตอบคำถาม แล้วบอกให้ผู้สื่อข่าวไปถามทนาย และยังพูดอีกว่าทนายไม่ Save นายกรัฐมนตรีเลย อันนี้มันไม่ใช่เรื่องมีปัญญาหรือไม่มีปัญญา มีความรู้หรือไม่มีความรู้ แต่มันเป็นเรื่องที่ทำให้คนคิดว่าเรื่องที่ทำนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หรืออาจจะร้ายแรงถึงระดับทำผิดกฎหมาย จึงไม่กล้าที่จะตอบเอง และยังจะขอให้สื่อมวลชนช่วย Save นายกรัฐมนตรีด้วย แปลว่าอย่าถามคำถามที่นายกรัฐมนตรีตอบไม่ได้ ใช่ไหม ที่ผ่านมาผู้คนมองการที่นายกรัฐมนตรีตอบคำถามผู้สื่อข่าวไม่ได้เป็นเรื่องของความอับปัญญาเท่านั้น แต่พอมาถึงเรื่องการขอร้องทั้งทนายและสื่อให้ช่วย Save นายกรัฐมนตรีด้วยนั้น มันคงไม่ใช่เรื่องอับปัญญาแล้วล่ะ มันน่าจะเป็นเรื่องของการกระทำที่อาจจะผิดกฎหมาย หรือผิดจริยธรรมก็ได้ อยากจะบอกว่าการไม่ตอบคำถามนักข่าวและไล่ให้ไปถามทนาย และขอให้สื่อกับทนายช่วย Save นายกรัฐมนตรี เป็นความอับปัญญายิ่งกว่าการตอบคำถามสดไม่ได้นะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

โปรดดูโพลก่อนด่า...ประชาพอใจ

ตลอดระยะเวลาที่แพทองธารดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเวลาประมาณครึ่งปี เธออาจจะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ จนถึงระดับถูกด่าทอต่อว่ามากที่สุดของประเทศไทย

ระหว่าง‘ศีลธรรม’กับ‘ความโง่’

วัน-สองวันก่อน...มีข่าวชิ้นเล็กๆ ในหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ คือ The Financial Times แต่เป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจอยู่ไม่น้อย ด้วยการอ้างรายงานการประเมินผลของหน่วยงานหน่วยหนึ่งใน

พัทยาโจรชุมกว่ายุง

โจรชุมยิ่งกว่ายุง เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี แหล่งท่องเที่ยวเลื่องชื่อ ชาวต่างชาติเข้ามาชมความงามทั้งช่วงกลางวันและยามค่ำคืน ปรากฏว่าร้านค้าภายในตลาดซอยบัวขาว

คาดผลตรีเทพย้ายราศีต่อคนลัคนาสถิตสิงห์

เดือนพฤษภาคมปี 2568 นี้ ดาวสำคัญทางโหรที่เรียกกันว่า ตรีเทพ อันได้แก่ พระราหูจร (8) เจ้าของความลุ่มหลงมัวเมา-ความมืด-อวิชชา หรือตัวแสบ-พระพฤหัสบดีจร

ไหวไหมลูกพ่อ...อยาก สทร. เป็นคนใน

พรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 โดยชี้ว่า เป็นต้นเหตุของความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งหมด

บทเรียนจาก 'ท่านปัญญาจารย์'

ด้วยเหตุเพราะอ่านหนังสือซะหมดบ้าน...จนแทบไม่เหลืออะไรจะอ่าน เลยต้องหันไปคว้า พระคัมภีร์ไบเบิล เล่มหนาๆ ระดับหนุนหัวนอนได้สบายๆ