Game of Thrones ภาคฟิลิปปินส์ (ตอนที่ 1)

ถ้าชอบเรื่องการเมือง ถ้าชอบดรามา ถ้าชอบดรามาการเมืองนั้น ผมว่าแฟนคอลัมน์สามารถติดตามการเมืองภายในประเทศทุกประเทศ ทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และคุณจะเจอเรื่องราวที่น่าสนใจแทบทุกเรื่อง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ใครจะมีเวลาและมีโอกาสติดตามเรื่องราวภายในประเทศแต่ละประเทศในโลกนี้ได้?

เฉพาะบ้านเรา คนที่บ้าคลั่งการเมือง และบ้าคลั่งดรามาการเมือง ก็หัวหมุนแล้ว ตื่นมาปุ๊บ คิดแต่เรื่องการเมือง ติดตามแต่เรื่องการเมือง และในหัวมีแต่เรื่องการเมือง แค่นี้ก็หมดวันไปแล้วครับ

คนที่บ้าคลั่งการเมือง เข้าใจว่าประเด็นที่ให้ความสนใจในแต่ละวันนั้นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ล้นจักรวาล มีความเข้าใจว่าประเด็นทางการเมืองที่สนใจจะทำให้โลกหยุดหมุน และมนุษย์ทุกคนในโลกต้องติดตามให้ได้ แต่หารู้ไม่ว่าถ้าเราก้าวออกจากกะลาของเรา จะพบว่าคนอื่น ในที่อื่น มีเรื่องอื่นที่เขาสนใจ หรือเขามึนหัวกับเรื่องใหญ่เท่าจักรวาลของเขา ที่เราไม่สนใจ หรือไม่รู้เรื่องเหมือนเรื่องใหญ่เท่าจักรวาลของเรา ที่เขาไม่สนใจ หรือไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกัน

ถ้าเอาเข้าจริง ประเด็นใหญ่ทางการเมืองบ้านเราส่วนใหญ่เป็นกระแสที่คนพูดถึงทั่วบ้านทั่วเมืองจริง…ใน 2 วันแรก จะพีกประมาณวันที่ 3 แล้วค่อยซาลงในวันที่ 4-5 ตามวัฏจักร จะมีประเด็นใหม่เข้ามาแทนในรอบต่อไป ถึงแม้จะมีตัวละครอยู่ซ้ำซากก็ตาม ถ้าหมายถึงประเด็น ประเด็นจะเป็นรอบๆ ไป แต่ในช่วงพีก คนจะเป็นจะตายกับเรื่องนี้ให้ได้

ซึ่งเป็นเรื่องปกติของทุกสังคม ทุกประเทศครับ แต่มีประเด็นหนึ่งในกลุ่มประชาคมอาเซียนของเรา ที่ถือว่าเป็นประเด็นร้อนเป็นปีแล้วครับ นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดี Ferdinand R. Marcos Jr. กับรองประธานาธิบดี Sara Duterte ถ้าชอบการเมือง ถ้าชอบเรื่องขัดแย้ง ถ้าชอบเรื่องเผ็ดร้อน หักหลัง เลื่อยเก้าอี้ เรื่องความสัมพันธ์คู่นี้มีหมดครับ

จำได้ไหม ผมเคยพูดว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรแปลกพิสดาร หรือเวอร์เท่าเรื่องจริง ลองเอาไปคิดดู ถ้ามีละครไหนเสนอเรื่องอดีตผู้นำประเทศที่หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ แต่ตลอดระยะเวลาที่หลบหนีอยู่นั้นยังมีอิทธิพลและสร้างปัญหาให้กับประเทศตัวเอง แต่ในที่สุด ด้วยเหตุผลอะไรบางประการ สามารถกลับมาบ้านเพื่อรับโทษได้ แต่แทนที่จะรับโทษ อยู่ๆ ก็ป่วยขึ้นมา และแทนที่จะต้องรับโทษในเรือนจำ ดันนอนโรงพยาบาลแทน และนอน โรงพยาบาลไม่พอครับ นอนโรงพยาบาลในช่วงเวลาที่ต้องรับโทษพอดี แล้วบังเอิญพอพ้นโทษและออกจากโรงพยาบาลปุ๊บ หายป่วยทันที

ถ้าเป็นละคร คุณจะดูไหม? คนสร้างละครกล้าสร้างไหม? ไม่มีทางครับ คนดูด่าเช็ดเลย แต่ในโลกความจริงของเรามันเกิดขึ้นไปแล้วครับ และน้ำเน่ากว่าละครน้ำเน่าล้านเท่าครับ

ถ้าคิดว่าเรื่องนี้น้ำเน่าแล้ว โปรดอ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์กันต่อดีกว่าครับ

ความสัมพันธ์ระหว่าง Marcos กับ Duterte ถ้าเรียกว่า “แย่” มันน้อยไป Marcos เป็นบุตรชายอดีตประธานาธิบดีเชิงเผด็จการ Ferdinand Marcos ที่ต้องลี้ภัยตัวเองอยู่ในรัฐ Hawaii เนื่องจากประชาชนขับไล่เขาออกจากประเทศ เรียกร้องสิทธิและประชาธิปไตยกลับคืนสู่ฟิลิปปินส์อย่างสง่างาม Marcos (ผู้เป็นพ่อ) อยู่ในตำแหน่งและมีอำนาจ เบ็ดเสร็จเป็นเวลาหลายศตวรรษ ช่วงนั้นอาเซียน (ของเรา) อยู่ในยุคผู้นำแข็งแกร่งเชิงเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ (ส่วนกัมพูชากับพม่ากำลังเริ่มเข้ายุคผู้นำเชิงเผด็จการตอนนั้น)

ส่วน Duterte เป็นลูกสาวอดีตประธานาธิบดี Rodrigo Duterte ที่เพิ่งพ้นตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และเป็นประธานาธิบดีที่คนฟิลิปปินส์ชื่นชอบและนับถือเป็นพิเศษ แต่ก็จะมีปมติดเรื่องวิธีการปราบปรามยาเสพติด ออกแนววิสามัญฆาตกรรมแบบโหดๆ ทำให้ถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนเป็นหมื่นๆ คนช่วงสมัยของเขา

การรวมตัวกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับรองประธานาธิบดีเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ระหว่างตระกูล Marcos กับ Duterte ถือว่าเป็นการรวมตัวระหว่างตระกูลยักษ์ที่ล้มยาก เพราะระบบการเลือกตั้งในฟิลิปปินส์นั้นจะเลือกประธานาธิบดีกับรองประธานาธิบดีแยกกัน ดังนั้นมีน้อยครั้งที่ประธานาธิบดีกับรองประธานาธิบดีจะเป็นทีมเดียวกัน ส่วนใหญ่ ประธานาธิบดีจะมาจากพรรคหนึ่ง และรองประธานาธิบดีจะมาจากอีกพรรคหนึ่งครับ ทำให้รองประธานาธิบดีมีอำนาจหน้าที่ตบยุงและตัดริบบิ้น แต่ในครั้งนี้ ทีม Marcos กับ Duterte ชนะขาดลอย ด้วยอันเข้าใจว่า Marcos จะเป็นประธานาธิบดีครั้งนี้ และ Duterte จะเป็นครั้งต่อไป เพราะด้วยกฎระเบียบของประธานาธิบดีนั้น ประธานาธิบดีจะมีวาระ 6 ปี และเป็นได้เพียงวาระเดียวเท่านั้น

ทุกอย่างดูราบรื่นและน่าจะตามแผน เพราะฐานเสียงของ Marcos อยู่ภาคเหนือของประเทศ ส่วนฐานเสียงของ Duterte อยู่ภาคใต้ ดูแล้วเหมือนเป็นสคริปต์ครองอำนาจของ 2 ตระกูลนี้ แต่ปรากฏว่าเรื่องจริงในโลกจริง ที่เหนือกว่านิยายนั้นเกิดขึ้นมาครับ และจากแรกที่ Marcos ต้องพึ่งพาพลัง กระแสและชื่อเสียง Duterte เพื่อชนะการเลือกตั้งนั้น หลังชนะแล้วกลายเป็นว่า Duterte ต้องพึ่งพาบุญบารมีเก่าของ Marcos มากกว่า

สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ ถึงแม้ Marcos (ผู้เป็นพ่อ) เคยยิ่งใหญ่และมีอำนาจล้นฟ้าขนาดไหนก็ตาม ตอนนั้นคือยุคหลายศตวรรษก่อนครับ สำหรับคนรุ่นใหม่และสังคมใหม่ ตระกูล Marcos เป็นเพียงชื่อที่ปรากฏในวิชาประวัติศาสตร์ แต่ไม่มีบทบาทอะไร หรือสำคัญอะไรกับชีวิตคนฟิลิปปินส์ในยุคปัจจุบัน ดังนั้นตอน Marcos (ผู้เป็นลูก) ประกาศชิงประธานาธิบดีนั้น มีแต่คนมองบน และคิดในใจ “จะได้หรอวะ?”

ส่วน Duterte เป็นตระกูลใหม่ทางการเมืองที่สร้างบารมี สร้างอิทธิพล ในยุค Duterte (ผู้เป็นพ่อ) เป็นประธานาธิบดี และเป็นอันเข้าใจว่า Sara เป็นทั้งลูกสาวและทายาททางการเมืองของตระกูลนี้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ถ้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากพ่อมันจะไม่งาม เลยถือว่าเป็นการจับมือระหว่างตระกูลยักษ์ทางการเมืองที่ Win-Win คือ Marcos พึ่งพากระแสและคะแนนนิยม Duterte ส่วน Duterte ได้ตำแหน่งรองประธานาธิบดี รอเวลา 6 ปีที่จะเป็นประธานาธิบดีเองในการเลือกตั้งรอบต่อไป

แต่ปรากฏว่า หลัง Marcos เป็นประธานาธิบดี ด้วยข้อตกลงบางประการ ลูกพี่ลูกน้องของเขา (Martin G. Romualdez) ได้ถูกคัดเลือกและแต่งตั้งให้เป็นประธานสภา ซึ่งถือว่าเป็นข้อตกลงเพื่อให้ความสัมพันธ์ราบรื่นต่อไป ทางฝ่าย Duterte คงไม่คิดอะไรมาก และคงเข้าใจว่าพลังและบารมีตระกูล Duterte น่าจะอยู่ต่อไปได้

มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยครับ สิ่งที่ทาง Duterte ไม่คำนึงถึงและประเมินผิดพลาดคือ ไปด้อยค่าพลังและชื่อเสียงตระกูล Marcos

ถ้าว่ากันตรงๆ และดิบๆ ตระกูล Marcos ในแวดวงการเมืองฟิลิปปินส์ เก่าแก่และมีรากลึกฝังลงไปในสังคมฟิลิปปินส์เป็นเวลาหลายศตวรรษ และสิ่งหนึ่งที่พวกเราต้องเข้าใจคือ การเมืองฟิลิปปินส์ครองด้วยตระกูล ด้วยบ้านใหญ่เป็นหลัก เพราะระบบการเลือกตั้งมันเอื้อให้ผู้มีชื่อเสียงและผู้มีอำนาจมากกว่า No Name หรือ “ผู้มีอุดมการณ์” นอกจาก Duterte (ผู้เป็นพ่อ) เข้ามาเป็นประธานาธิบดีแล้ว เขาไม่มีใครคนอื่นที่จะฝังตัวเข้าไปในระบบอุปถัมภ์เดิมที่มีอยู่แล้ว Sara เองก็กร่างเกินที่จะถ่อมตัวและไต่เต้าตัวเองในสังคมการเมือง เพราะเขาวางตัวเองเป็นประธานาธิบดี เลยทำตัวยิ่งใหญ่

ดังนั้นในแวดวงตระกูลการเมือง แวดวงบ้านใหญ่ Marcos มีบทบาทและบารมี ส่วน Duterte เป็นข้าวนอกนา เป็นบ้านนอกเข้ากรุง พอ Marcos ได้เป็นประธานาธิบดี เขาเริ่มวางแผนหาวิธีการถีบ Duterte ออกจากสารบัญการเมืองฟิลิปปินส์ให้ได้ เพราะ Marcos ไม่ต้องการ Duterte แล้ว เนื่องจากเป็นประธานาธิบดีแล้ว ใช่ไหมครับ?

เรื่องอะไร Marcos จะต้องเป็นประธานาธิบดีหุ่นเชิดให้กับ Duterte หรือเป็นเพียง “ผู้รักษาเก้าอี้” ให้เธอ? Marcos ก็มีทายาททางการเมืองเหมือนกัน แม้จะเป็นลูกตัวเอง หรือลูกพี่ลูกน้องที่เป็นประธานสภาด้วยซ้ำ

เรื่องราวที่เล่าทั้งหมดในวันนี้ ไม่จบแค่นี้หรอกครับ วันนี้เป็นการปูทาง เล่าที่มาที่ไปก่อน และสัปดาห์หน้าเข้าถึงเนื้อหาสาระในเรื่องจริงที่แปลกกว่าละคร ดูแล้วเหมือน Game of Thrones ภาคฟิลิปปินส์ครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คนขับ Tesla คงสับสนกันมาก

ตอนเรียนหนังสือ สิ่งที่ถูกสอนตลอดเวลาคือ การบริหารประเทศควรต้องแยกศาสนากับการบริหาร เพราะเมื่อปนกันเมื่อไหร่ ผู้มีอำนาจจะกลายเป็นเผด็จการไปในตัว

5ปีที่แล้วโลกหยุดหมุนชั่วคราว

วันนี้ขอย้อนกลับไปยุคที่ไม่ห่างปัจจุบันมากนัก แต่ต่างจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง ผมจะไม่ย้อนกลับไป 20-30 ปี จะย้อนแค่ 5 ปีเท่านั้น ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่โลกหยุดหมุนชั่วคราวอย่างจริงจัง เป็นยุคที่ Corona Virus กำลังระบาด ทำให้โลกของเราอยู่ในความมืดมน อยู่ในความสับสน อยู่ในความงง บวกกับความกลัว และความไม่แน่นอน

2568 อันธพาลครอง.....ทำเนียบขาว!!!

วันนี้ผมมาช้า แต่ช้าดีกว่าไม่มา วันนี้ผมอยากพูดถึงเรื่องการ “ปะทะ” ระหว่าง ประธานาธิบดี Donald Trump กับประธานาธิบดี Volodomyr Zelensky เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ Zelensky เยือนทำเนียบขาว อย่างเป็นทางการ ผมจะไม่เสียเวลาใคร วิเคราะห์ว่า พฤติกรรม Trump ไม่เหมาะสมอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะสำหรับใครที่คิดว่าการกระทำของ Trump ถูกต้องอยู่ พูดไปก็เท่านั้นแหละครับ

THANK YOU, NICO!!!!!!

ผมขอแสดงความนับถือ และขออวยพรให้พี่น้องชาวมุสลิมทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง และมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง ตลอดช่วงรอมฎอนปีนี้ครับ

Game of Thrones ภาคฟิลิปปินส์ (ตอนจบ)

เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้ปูทางและเล่าที่มาที่ไปของความขัดแย้งระหว่าง “บ้านใหญ่” 2 ตระกูลในแวดวงการเมืองฟิลิปปินส์ ตระกูลหนึ่งเป็น “บ้านใหญ่”

ถูกใจ....ถูกต้อง?

ผมรู้สึกโล่งใจที่สภาพอากาศกลับมาสู่สภาพปกติ (มากกว่าเดิม) ถึงแม้จะไม่ใสสะอาดเท่าที่ควรก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าช่วงที่มีฝุ่นหนาทั่วบ้านทั่วเมือง