เกษตรคาร์บอนต่ำ

กระแสรักษ์โลก เกณฑ์การค้าด้านสิ่งแวดล้อมโลกที่เข้มข้น และเทรนด์ผู้บริโภคสีเขียวเร่งให้ไทยต้องปรับตัวสู่เกษตรคาร์บอนต่ำ โดยเฉพาะการผลิตข้าวที่ปล่อยก๊าซมีเทนสูง ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ภาคเกษตรไทยจะถูกบีบมากขึ้นจากเทรนด์โลกที่ส่งสัญญาณเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หากไทยยังไม่ยกระดับไปสู่เกษตรคาร์บอนต่ำ ด้วยแรงกดดันของโลกใน 2 ด้านหลัก คือ ด้านอุปทาน จากการที่หลายประเทศได้ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่รวมถึงภาคเกษตร และเกณฑ์การค้าด้านสิ่งแวดล้อมโลกที่เข้มข้น โดยเฉพาะในสหภาพยุโรป หรือ EU ที่ระยะข้างหน้าอาจมีการนับรวมภาคเกษตรไว้ในระบบการซื้อขายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ EU จนนำไปสู่กติกาการค้าสินค้าเกษตรกับ EU ที่เข้มงวดขึ้น

ส่วน ด้านอุปสงค์ ด้วยกระแสผู้บริโภคสีเขียวใน EU ที่มาแรง พร้อมกับการตระหนักถึงการมีฉลากสะอาดรับรอง ปัจจัยเหล่านี้จะกดดันให้ไทยซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรต้องเร่งปรับตัวสู่เกษตรคาร์บอนต่ำ เนื่องจากไทยก็มีการส่งออกสินค้าเกษตรไป EU ด้วย

อย่างไรก็ตามภาคเกษตรปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงอันดับต้นๆ ส่วนใหญ่มาจากการปลูกข้าวที่มีน้ำขัง ซึ่งปล่อยก๊าซมีเทนสูงที่สุด โดยภาคเกษตรไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับ 2 ราว 16% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทุกสาขา ซึ่งมาจากการปลูกข้าวมากที่สุดถึง 51% ของกิจกรรมในภาคเกษตรทั้งหมด และการปลูกข้าวจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมามากที่สุดจากปัญหาการทำนาแบบดั้งเดิมที่มีน้ำขังในนาข้าว คิดเป็น 80% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในการปลูกข้าว ซึ่งจะปล่อยก๊าซมีเทนสูงสุดกว่า 78%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังระบุอีกว่า ข้าวไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าเวียดนาม ไทยจึงต้องมุ่งผลิตข้าวคาร์บอนต่ำ เพื่อรักษาการแข่งขันในตลาดสหภาพยุโรประยะข้างหน้า โดยการผลิตข้าวไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับ 2 จากผู้ผลิตหลักของโลก ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าอยู่ที่อันดับ 7 ประกอบกับไทยส่งออกข้าวไป EU ราว 3% ของมูลค่าส่งออกข้าวทั้งหมด แม้จะเป็นสัดส่วนไม่มากและ EU ยังไม่ได้บังคับใช้เกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นกติกาการค้าข้าวในปัจจุบัน แต่ไปข้างหน้า EU ก็อาจบังคับใช้เกณฑ์นี้ได้

นอกจากนี้ การที่เวียดนามเป็นคู่แข่งในตลาด EU ซึ่งเดิมข้าวเวียดนามก็ได้เปรียบไทยอยู่แล้ว ทั้งต้นทุนการผลิต ผลผลิตต่อไร่ ราคาขาย และพื้นที่ปลูกที่อยู่ในเขตชลประทานกว่า 70% อีกทั้งเวียดนามยังจริงจังในการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำและมีเป้าหมายที่ชัดเจน

และเมื่อเทียบฟอร์มข้าวคาร์บอนต่ำของไทยกับเวียดนาม จะพบว่าศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำของไทยยังตามหลังเวียดนาม โดยไทยเริ่มต้นด้วยพื้นที่ปลูกที่น้อยกว่าเวียดนามไม่มากนักราว 0.55 ล้านไร่ แต่ด้วยผลผลิตต่อไร่ที่ต่ำของไทยและการที่ไทยยังไม่มีเป้าหมายชัดเจนมากนักในเรื่องข้าวคาร์บอนต่ำ ทำให้แม้ไทยจะพยายามขยายพื้นที่ปลูกไปในเขตชลประทานที่เหมาะสมมากขึ้น แต่ก็ยังทำให้ศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำของไทยทำได้เพียง 4 ล้านตัน

ขณะที่เวียดนามมีเป้าหมายชัดเจนในปี 2030 ที่จะมีพื้นที่ปลูกข้าวคาร์บอนต่ำให้ได้ 6.25 ล้านไร่ จากการสนับสนุนของภาครัฐอย่างจริงจัง ผนวกกับผลผลิตต่อไร่ที่สูงกว่าไทยเกือบ 2 เท่า ทำให้เวียดนามมีศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำได้มากกว่าไทยถึง 1.6 เท่า หรืออยู่ที่ 6.3 ล้านตัน

อย่างไรก็ตามแม้ข้าวคาร์บอนต่ำจะเป็นเทรนด์โลกระยะยาว แต่ไทยยังคงทำได้ไม่ดี ด้วยข้อจำกัดบางประการ โดยเฉพาะเรื่องระบบชลประทานที่ไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวในเขตชลประทานเพียง 20% นอกจากนี้ เงินลงทุนเริ่มต้นที่สูงเพื่อปรับไปเป็นแปลงนาข้าวคาร์บอนต่ำ เช่น การปรับหน้าดิน การจัดการระบบน้ำ เป็นต้น ประกอบกับเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพียงรายย่อยที่ไม่มีเงินทุนเพียงพอ ทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตข้าวคาร์บอนต่ำของไทยจะต้องใช้เวลาและคงไม่ง่ายนัก

หากยิ่งไปข้างหน้า EU มีการบังคับใช้เกณฑ์ค้าข้าวคาร์บอนต่ำ ซึ่งไทยก็คงประคองปริมาณส่งออกไปได้จากผลผลิตข้าวคาร์บอนต่ำที่มีเพียงพอ แต่ไทยจะต้องแข่งขันด้านราคากับเวียดนามที่ได้เปรียบไทย โดยปี 2019-2024 ราคาข้าวหอมมะลิไทยเฉลี่ยที่ 964 ดอลลาร์ต่อตัน ข้าวหอมเวียดนามเฉลี่ยที่ 521 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ในด้านปริมาณก็ลดลงเช่นกัน โดยปี 2019-2023 ปริมาณส่งออกข้าวไทยไป EU ลดลงเหลือ 0.24 ล้านตันจากปี 2014-2018 ที่ 0.27 ล้านตัน ขณะที่เวียดนามเพิ่มขึ้นเป็น 0.074 ล้านตันจาก 0.067 ล้านตัน ตามลำดับ

ในเรื่องนี้จะถึงเวลาหรือยังที่รัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้อง จะหันหน้ามาเร่งส่งเสริมและยกระดับภาคการเกษตรทั้งระบบ ไม่ใช่เฉพาะการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำเท่านั้น เพื่อลดผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงในระยะข้างหน้า

ก็คงได้แต่หวังว่าจะทำกันอย่างจริงจัง อย่าดีแต่พูดเหมือนที่ผ่านๆ มา.

 

บุญช่วย ค้ายาดี

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ผนึกพลังพัฒนากำลังคน

ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก เทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว และการแข่งขันด้านต้นทุนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คำถามสำคัญของอุตสาหกรรมไทยไม่ใช่เพียง “จะผลิตอย่างไรให้ได้มากขึ้น” แต่คือ “จะสร้างคนและองค์ความรู้แบบใดให้ยืนระยะในเวทีสากลได้จริง”

ปีใหม่เป้าลดอุบัติเหตุ 5%

ช่วงเทศกาลปีใหม่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ประชาชนจำนวนมากออกเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยว ส่งผลให้ปริมาณการใช้รถใช้ถนนเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว และมักตามมาด้วยความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุทางถนน

เมื่อสุขภาพคือความลักชัวรีแบบใหม่

ในยุคที่ผู้คนต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ ทำให้เทรนด์นี้ยังคงมาแรงต่อเนื่อง ซึ่งก็มีข้อมูลที่น่าสนใจจากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กับข้อมูลสุดอินไซต์ “ภูมิทัศน์การดูแลสุขภาพของคนไทย” รับเทรนด์เศรษฐกิจอายุยืน

องค์กรต้องกล้าเปลี่ยนผ่าน

ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและแรงกดดันด้านความยั่งยืนที่เข้มข้นขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวรองรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่ง สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)

แรงงานคืนถิ่น:ทางเลือกที่เป็นโอกาส

‘การเคลื่อนย้ายแรงงาน’ จากภูมิลำเนาเข้าสู่จังหวัดเศรษฐกิจเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานตอนต้น ซึ่งเป็นกำลังแรงงานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา อย่างไรก็ตาม

ดันไทย-ญี่ปุ่นปักธงอุตสาหกรรม

ในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และเป้าหมายด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ความสามารถของประเทศในการปรับตัวและสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมไปสู่ยุคใหม่ที่เน้นมูลค่าสูงและมาตรฐานที่เข้มงวด