ในเร็วๆ นี้ โลกของเราจะเปลี่ยนโดยที่เราไม่รู้ตัวครับ
ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม จะอยู่ใน Gen ไหน สิ่งที่พวกเราต้องยอมรับกันคือ โลกโซเชียลมีอิทธิพลต่อชีวิตพวกเราอย่างแรง ในยุคนี้พวกเราเป็นทาสให้กับทุกสิ่งอย่างที่ผ่านโลกโซเชียลครับ ถึงแม้พวกเราจะบอกว่าเราไม่ติดก็ตาม แต่จริงๆ แล้วเราติดกัน
มันง่ายมากที่จะหลุดเข้าไปในโลกโซเชียล และป้วนเปี้ยนอยู่ในโลกนั้นหลายชั่วโมง ในแต่ละครั้ง คลิกนี้ แตะโน่น ดูไปดูมาเวลาผ่านไป 2 ชั่วโมงโดยที่ไม่รู้ตัว ดู Shorts ดู Reels ดูคลิป
อะไรก็แล้วแต่ ดูไปดูมา ถ้าไม่ควบคุมตัวเองจะเพลิดเพลินกับมัน และหลุดออกไปยาก
สำหรับใครที่สามารถแยกแยะว่าอะไรคือความจริง และอะไรคือการหลอกลวง ผมถือว่าอันนั้นเป็น sense ที่เป็นแนวป้องกันไม่ให้เราเสียเวลา เสียความรู้สึก และเสียอารมณ์ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า โลกโซเชียลในยุคปัจจุบันตีเนียนและกระโดดไปไกลมากพอสมควร จนทำให้ในหลายครั้งคนเราแยกแยะไม่ออกว่าโพสต์ (หรือคลิป) มันของจริงหรือตั้งใจหลอกลวง
ในยุคก่อนๆ มันยังสามารถแยกแยะออกง่ายว่าอะไรคือของจริง และอะไรคือ “น่าสงสัย”
สมัยก่อนถ้าจะหาข้อมูลที่เชื่อถือได้ จะดูตาม Encyclopedia หรือพจนานุกรม หรือหนังสืออ้างอิงในห้องสมุด ถึงแม้ข้อมูลอาจเอนไปทางใดทางหนึ่ง อาจบิดเบือน อาจพูดความจริงไม่หมดก็ตาม พวกเรายังมีความเชื่อถือแหล่งข้อมูลของเขามากกว่าข้อมูลที่จะได้จากบรรดาจดหมายเปิดผนึก หรือเอกสารที่คนยืนแจกบนท้องถนน
แต่ยุคนี้กลายเป็นว่า เอกสารที่เคยแจกบนท้องถนนกับข้อมูลที่มาจาก Encyclopedia มีที่ยืนและมีเนื้อที่ในโลกโซเชียลเท่าถึงกัน เลยเหมือนแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือเท็จ อะไรคือจริง อย่างน้อยๆ ในยุคก่อนโลกจริงของเราจะแบ่งผู้มีความรู้ออกจากผู้ไม่มีความรู้ แยกแยะระหว่างผู้ที่อยากมีความรู้กับผู้ไม่สนใจอยากมีความรู้ได้ นั่นคือคนที่อ่านหนังสือหาข้อมูล กับคนที่ไม่ยอมอ่านหนังสือหาข้อมูล
แต่ยุคนี้ ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน เพราะแหล่งข้อมูลทั่วถึงและเข้าถึงทุกคน ตามหลักเกณฑ์หลักการนั้น ยุคแรกๆ การมีอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นยุคที่ห้องสมุดต่างๆ จะเอาหนังสือของเขามาเผยแพร่ออนไลน์ ด้วยวัตถุประสงค์อยากให้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลให้กับคนทั่วโลก
วัตถุประสงค์ดั้งเดิมกับโลกโซเชียลปัจจุบันนั้นมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
โลกโซเชียลในยุคปัจจุบันทำให้เราต้องอยู่ในโลกที่คนมีความรู้ ต้องเหนื่อยตอบโต้ ผู้รู้ดี ผู้ไม่รู้เรื่อง และผู้ไม่หวังดี ที่มีเวทีแสดงความคิด ความเข้าใจให้กับคนทั่วไปได้ อย่าเข้าใจผมผิดครับ ผมไม่ได้บอกว่าคนเราไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น คนเราไม่มีสิทธิ์มีจุดยืนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่โลกโซเชียลยุคนี้ทำให้เห็นชัดว่า มีคนหาเรื่อง สร้างปัญหา และไม่รู้เรื่อง (รวมถึงรู้ดี) มากกว่าคนที่มีความรู้จริงๆ
ที่ผมบอกว่าโลกของเราจะเปลี่ยนโดยที่เราไม่รู้ตัว ต่อจากนี้ไป Facebook (รวมถึง Instagram กับ Threads) ที่เรารู้จักกันดี จะเปลี่ยนโฉมและเปลี่ยนแปลงโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว
ก่อนหน้านี้เรามักจะบ่นกันว่า FB (Facebook) เป็นแหล่งข้อมูลบิดเบือน ข้อมูลเท็จ ข้อมูลหลอกลวง แต่ต่อจากนี้ไปจะแย่กว่านี้อีกหลายล้านเท่า ก่อนหน้านี้ถึงแม้คนบ่นก็ตาม แต่ทาง Meta (บริษัทแม่ของ FB) มีมาตรการพยายามควบคุมข้อมูลเท็จ ข้อมูลบิดเบือน และข้อมูลหลอกลวง โดยที่จ้างบริษัท Fact Checkers (กว่าเกือบ 100 บริษัท) ทำหน้าที่กลั่นกรอง เช็กข้อมูล และควบคุมขยะข้อมูลที่ปรากฏผ่านจอพวกเรา
เขามีกระบวนการและมีระบบที่อาจไม่เพอร์เฟกต์และสมบูรณ์ แต่ถือว่าเป็นระบบที่ใช้ได้ทีเดียว เพราะเวทีเปิดอย่าง FB ที่มีคนใช้ทั่วโลกเป็นพันๆ ล้านคน มันไม่ง่ายที่จะควบคุมหรือกำจัดข้อความที่เป็นพิษ เป็นขยะ หรือเป็นภัยต่อสังคม เพราะ "ความจริง” ของกลุ่มหนึ่งเป็นสิ่งที่อีกกลุ่มหนึ่ง “รับไม่ได้” ดังนั้นผู้คนที่ต้องกลั่นกรอง ต้องพิจารณาว่าข้อมูลอะไรเป็นบวกหรือลบ มีหน้าที่ที่เหนื่อยสุดๆ
แต่ต่อจากนี้ไป อะไรที่เราจะเห็นผ่าน FB Instagram และ Threads จะไม่มีมืออาชีพกลั่นกรองให้แล้วนะครับ ต่อจากนี้ไป ประชาคม FB ประชาคม Instagram และประชาคม Threads จะควบคุมดูแลกันเอง หมายความว่า โพสต์ไหนที่เข้าข่ายหมิ่นเหม่ผ่าน FB จะต้องให้ประชาคม FB ตัดสินกันเองว่าโพสต์นั้นๆ เหมาะสมหรือไม่
ขอมองบนนิดหนึ่ง แนวทางใหม่ของ FB ที่เขาตั้งชื่อว่า Community Notes คงจะไม่ต่างจากเวลาสื่อบ้านเราบอกว่าจะดูแลและควบคุมจริยธรรมกันเอง แนวทางเดียวกันเป๊ะเลยครับ
ในโลกสวย แนวทางนี้ฟังดูดีมากครับ ฟังดูเป็น “ประชาธิปไตย” แต่โลกเราไม่สวยเสมอ เลยน่าจะเข้ายุค Fake News ข้อมูลบิดเบือน ข้อมูลเท็จ และข้อมูลหลอกลวงเต็มรูปแบบ ถ้าไม่สังเกตดูดีๆ ถ้าไม่ใช้สติในการดูโพสต์ทั้งหลายนั้น เราจะไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรหลอก และสิ่งสำคัญสุด อะไรคือตั้งใจหลอก
ถ้าพวกเราเคยคิดว่าที่ผ่านมา FB ย่ำแย่อยู่แล้ว เตรียมตัวเข้ายุคที่ย่ำแย่กว่าครับ ต่อจากนี้ไป FB จะไม่ต่างจาก X (หรือ ทวิตเตอร์ในอดีต) เพราะ Mark Zuckerburg พูดชัดเจนว่า โมเดลการเปลี่ยนโฉม Meta คือ X ของ Elon Musk ผมคนนึงที่ไม่เคยสนใจและไม่เคยคิดอยากสนใจ Twitter (หรือ X ในปัจจุบัน) เพราะผมถือว่า X เป็นแหล่งข้อมูลไร้สาระ และเต็มไปด้วยนักเลงคีย์บอร์ด ที่กล้าหาญเมื่อไม่ต้องปรากฏตัว….แต่หดทุกทีถ้าเผชิญหน้า โลกใหม่ที่เรากำลังจะเผชิญ ในฐานะที่เราเป็นทาสเครื่องมือโซเชียล อาจเป็นโลกที่เราอยู่มาโดยตลอด โดยที่เราไม่รู้ตัว หรือโดยที่เรารู้ตัว?
ถ้าจะบอกว่า วิธีการป้องกันเชื้อโลกใหม่ของเรา (ที่เราจะเผชิญกับข้อมูลบ้าบอจากทุกสารทิศ) คือการใช้ดุลพินิจ ใช้สติ และใช้ความรู้ เพื่อป้องกันพวกเรารู้จากสารพัดข้อมูล ผมไม่แน่ใจว่าพูดไปจะเป็นประโยชน์หรือไม่ครับ ดูการโพสต์แต่ละเรื่องจากผู้ "มีความรู้” มันน่าหดหู่มาก เพราะในหลายครั้งจะไม่ต่างจากผู้ที่ไม่รู้เรื่อง ผู้ที่รู้ดี และผู้ที่ตั้งใจหลอกลวง
ยินดีต้อนรับสู่โลกใหม่ของเรา…. ที่ไม่น่าต่างจากโลก “เก่า” ที่เราอยู่มาโดยตลอดครับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
วันส่งท้าย 'สวัสดีปีใหม่'
หวังว่าวันนี้คงไม่สายเกินไปที่ผมจะทักแฟนคอลัมน์ด้วยคำว่า “สวัสดีปีใหม่” ครับ เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกที่เราได้เจอกันในรอบปีใหม่ แต่ผมมีคำถามอยู่คำถามหนึ่งว่า
'This is what butterflies listen to after a long day.'
ทิ้งท้ายปีนี้ด้วยคอลัมน์สบายๆ ครับ ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมจะเขียนในวันนี้ จะถึงใจแฟนคอลัมน์หรือเปล่า เพราะผมไม่แน่ใจว่าพวกเราชอบฟังเพลงแนว Podcast
Gisele Pelicot วีรสตรีของโลก
วันนี้ผมขออนุญาตเขียนเรื่องที่อาจสะเทือนใจ และสร้างความอึดอัดให้กับแฟนคอลัมน์หลายท่าน มันไม่ใช่เรื่องที่คนปกติจะนั่งพูดคุยกัน เป็นเรื่องสะเทือนใจ
สงครามที่โลกลืม…ปิดฉากไปแล้ว
มันแปลกจริงๆ ครับ ประมาณเกือบ 2 สัปดาห์ที่แล้ว อยู่ๆ ผมนึกถึงคอลัมน์ที่ผมเคยเขียน เรื่องเกี่ยวกับ “สงครามที่โลกลืม”
President Biden….You’re a Good Dad
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีสารพัดเรื่องที่น่าสนใจและน่าเขียนถึง เรื่องแรกต้องเป็นเรื่องประกาศกฎอัยการศึกในเกาหลีใต้ เพราะเป็นเรื่องไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น และถือว่าเป็นการประกาศฟ้าผ่าทีเดียว
คุยเรื่อง…ที่ไม่ใช่เรื่อง
เผลอแป๊บเดียว วันนี้เราเข้าเดือนสุดท้ายของปีแล้ว ถือว่าเราเข้าฤดูกาลซื้อของขวัญสำหรับคริสต์มาสและปีใหม่อย่างเป็นทางการ ถึงแม้ตามห้างต่างๆ