
ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้สรุปเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เป็นเงื่อนไขที่นำมาสู่การประกาศพระราชกฤษฎีกา
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 อันเป็นพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปรับคณะรัฐมนตรีแลชะลอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราชั่วคราว ซึ่งรายงานจากสถานทูตฝรั่งเศสเห็นว่าเป็นการทำรัฐประหาร ในขณะที่รายงานสถานทูตอังกฤษรายงานว่าเป็นการยุบสภาฯและเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยอัครราชทูตอังกฤษรายงานว่า
“การยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ ผู้นำรัฐบาลมิได้ดำเนินการเร็วเกินไป สภาแห่งนี้มิได้ตอบสนองวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์ และก็มิได้ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นใดๆ แทบจะไม่มีคนในในบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มีประสบการณ์ทางการเมือง……..ในระยะหลังๆ มานี้ หลวงประดิษฐ์มนูธรรมและกลุ่มผู้สนับสนุน 3-4 คนในคณะรัฐบาล เมื่อเห็นว่าฝ่ายตนเป็นเสียงข้างน้อย ก็เริ่มกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านขึ้นในบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้ที่พวกเขาเสนอแต่งตั้งเข้ามาเมื่อมีการจัดตั้งสภาแห่งนี้ พวกเขาไม่มีกลุ่มผู้สนับสนุนนอกสภา แต่ในสภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิกประมาณ 25-30 คนจากทั้งหมด 70 คนที่พวกเขาพึ่งพาได้ ในเดือนมิถุนายนจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งจะทำให้มีสมาชิกทั้งจากการเลือกตั้งและแต่งตั้งรวมกัน 240 คน (น่าจะผิดพลาด เพราะตัวเลขที่ถูกต้องคือ ประมาณ 140 คน/ผู้เขียน) สภาผู้แทนราษฎรก็คงจะกลายเป็นสภาฝูงชน (mob assembly) และก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ลู่ทางเช่นนี้จะทำให้พวกหัวไม่รุนแรงเกิดความวิตกหวาดผวา ข้าพเจ้าเห็นว่าแถลงการณ์ของรัฐบาล [ที่อธิบายเรื่องการออกพระราชกฤษฎีกายุบสภา] เป็นการแถลงข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา” [1]
ส่วนนักวิชาการไทยคนแรกที่กล่าวชัดเจนว่า การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 เป็นการทำรัฐประหาร คือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ในบทความเรื่อง “กบฏบวรเดช การเมืองของประวัติศาสตร์ และประวัติศาสตร์ของการเมือง” วารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 13 ฉบับที่ 1 มีนาคม 2527 ได้ถูกนำมารวมเล่มกับบทความอื่นๆ ในหนังสือชื่อ ความคิด ความรู้ และอำนาจการเมืองในการปฏิวัติสยาม 2475, พิมพ์ครั้งที่ 1 สถาบันสยามศึกษา สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, พิมพ์ครั้งที่ 5 สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน, พ.ศ. 2560) นครินทร์เพียงแต่กล่าวว่า การประกาศพระราชกฤษฎีกาฯเป็นการทำรัฐประหาร แต่ไม่ได้อธิบายความอะไร หลังจากนั้น 7 ปี ในวิทยานิพนธ์ของ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์เรื่อง รัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ได้อธิบายความไว้ 16 หน้าว่า การประกาศพระราชกฤษฎีกาฯนั้นเป็นการทำรัฐประหาร ประเด็นการให้เหตุผลที่น่าสนใจของธำรงศักดิ์อีกส่วนหนึ่ง นอกเหนือจากที่กล่าวไปในตอนก่อนๆคือ
(ธำรงศักดิ์กล่าวไว้ในวิทยานิพนธ์หน้า 310-312)
“สิ่งที่เราต้องวิเคราะห์ถึงความซับซ้อนในการใช้พระราชกฤษฎีกาทำรัฐประหาร โดยกลุ่มนักกฎหมายสำเร็จจากอังกฤษและเป็นนักกฎหมาย ‘มือหนึ่ง’ ของประเทศ คือ
1) กลุ่มพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเกือบทั้งหมดคือผู้เป็นอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญย่อมทราบดีว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด หากกฎหมายอื่นใดขัดต่อรัฐธรรมนูญ ย่อมถือว่าเป็นโมฆะ แต่พระยามโนปรกณ์นิติธาดาใช้ ‘พระราชกฤษฎีกา’ อันเป็นกฎหมายที่ฝ่ายบริหารออกได้โดยไม่ขัดกับกฎหมายทั่วไป ‘ให้รอการใช้บทบัญญัติต่าง ๆในรัฐธรรมนูญ ซึ่งขัดกับพระราชกฤษฎีกานี้เสีย’ เห็นได้ว่าเป็นการใช้กฎหมายที่กลับตาลปัตรกันหรือกลับหน้ามือเป็นหลังมือ ม.จ. วรรณไวทยากร วรวรรณ ได้วิเคราะห์ถึงมาตรารัฐธรรมนูญที่เหลือใช้จากข้อกำหนดของพระราชบัญญัติที่ให้ ‘งดใช้’ รัฐธรรมนูญเกือบทุกมาตราว่า เหลือแต่มาตรา ‘ที่ไม่เป็นสาระอันสำคัญยิ่ง’ จากทั้งหมด 68 มาตาเหลือใช้เพียง 18 มาตรา ได้แก่ มาตราที่ 1,3,4,5,7,8,11, 12-15, 53-60 กล่าวคือ เมื่อพระราชกฤษฎีกาให้ ‘ยุบ’ สภาผู้แทนราษฎร (ในพระราชกฤษฎีกา ใช้คำว่า ปิดประชุม/ผู้เขียน) และให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนด้วย ดังนั้น จึงทำให้หลักสำคัญของรัฐธรรมนูญมาตราที่ 2 ที่ว่า ‘อำนาจอธิปไตยย่อมมาจากปวงชนชาวสยาม…’ หายไป จึงย่อมทำให้มาตราอื่น ๆ ที่เกี่ยวพันกับสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรีหายไปด้วย คงเหลือมาตราที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ หน้าที่ของชนชาวสยาม และในหมวดศาล ซึ่งโดยนัยของการรัฐประหารครั้งนี้ก็คือ รัฐธรรมนูญได้ถูกยกเลิกไปแล้ว
2) พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ ‘ให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรนี้เสีย และห้ามมิให้เรียกประชุมจนกว่าจะได้มีสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่เมื่อได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร…..’ การใช้พระราชกฤษฎีกาในแง่มุมนี้ไม่ผิดหลักการอย่างแน่นอน เพราะการ ‘ปิด’ หรือ ‘ยุบ’ สภาผู้แทนราษฎรนั้นกระทำโดยใช้พระราชกฤษฎีกา การ ‘ปิด’ สภาผู้แทนราษฎร คือ การที่สภาหมดสมัยวาระการประชุมหรือครบกำหนดอายุตามวาระของสมาชิกสภาซึ่งจะต้องมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกันใหม่ ส่วนการ ‘ยุบ’ สภาผู้แทนราษฎร คือ การที่รัฐบาลได้ขัดกันกับสภาอย่างรุนแรง ฝ่ายรัฐบาลจึงใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งกันใหม่ แต่ความซับซ้อนก็เกิดขึ้นเพราะถ้า ‘ปิด’ สภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ คณะรัฐมนตรีชุดชั่วคราวนี้ก็จะเป็น ‘รัฐบาลรักษาการ’ ด้วย แต่พระราชกฤษฎีกานี้ให้ตั้ง ‘คณะรัฐมนตรีชุดใหม่’ นั่นหมายความว่าสภาผู้แทนราษฎรถูก ‘ยุบ’ นอกจากนั้น หลังการรัฐประหารครั้งนี้ พระยามโนปกรณ์นิติธาดาก็หาได้ประกาศกฎหมายให้มีการเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ 1 อย่างทันทีทันใดไม่ จนกระทั่งเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ ‘4 ทหารเสือลาออก’ จึงประกาศให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2476 หรืออีก 75 วันหลังการรัฐประหาร
3) พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ได้ตั้งให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ ของคณะรัฐบาลซึ่งถูก ‘ยุบ’ โดยพระราชกฤษฎีกาเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงของรัฐบาลชุดใหม่ ส่วนรัฐมนตรีลอยอื่นๆ พระยามโนปรกรณ์นิติธาดาได้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ‘ประกาศตั้งรัฐมนตรี’ ลอยชุดใหม่ต่างหากออกไป สิ่งสำคัญคือ พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ให้อำนาจคณะรัฐมนตรี ‘ชุดใหม่’ เป็นทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวได้ว่า คณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้เป็นเผด็จการเต็มรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม กล่าวได้ว่า พระยามโนปกรณ์นิติธาดาและกลุ่มอนุรักษนิยมยังแสดงเจตนาให้ประเทศมีรัฐธรรมนูญและมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ ดังปรากฏความในพระราชกฤษฎีกา แต่เป้าหมาหรือผลในท้ายที่สุดของการที่รัฐธรรมนูญจะ ‘สมบูรณ์’ อีกครั้งคือ พระยามโนปกรณ์นิติธาดาและกลุ่มอนุรักษนิยมก็จะเป็น ‘กลุ่มอำนาจใหม่’ ของประเทศ ขณะที่คณะราษฎรจะถูกขจัดออกไปจากศูนย์อำนาจนี้ ขณะเดียวกัน พระมหากษัตริย์หรือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ซึ่งทรงให้ความร่วมมือและสนับสนุนในการทำรัฐประหารของกลุ่มพระยามโนปกรณ์นิติธาดาก็จะทรงได้รับพระราชอำนาจเพิ่มขึ้นในรัฐธรรมนูญตามที่พระองค์ทรงหวังไว้ กล่าว ตามบทบัญญัติในพระราชกฤษฎีกา รัฐธรรมนูญจะมีความสมบูรณ์ได้ 3 ประการคือ
ประการที่ 1 จนกว่าจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนรำร ซึ่งเห็นได้ว่ามีความเกี่ยวพันอย่างสำคัญกับการล้มสมาคมคณะราษฎรที่มุ่งหวังส่งสมาชิกเข้ารับสมัครการเลือกตั้ง เมื่อล้มสมาคมนี้แล้ว คณะราษฎรย่อมไม่มีเสียงสนับสนุนหรือไม่ได้กุมเสียงข้างมากในหมู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้ส่งจดหมายมายังสภาผู้แทนราษฎรหลังการรัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 โดยโจมตีพระยามโนปกณณ์นิติธาดาว่า พระยามโนปกรณ์ฯ ‘ได้จัดการวางแผนในการหาเสียงข้างมากไว้’ โดยวิธีให้พระยาจ่าแสนยบดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ‘กระซิบ’ เจ้าเมืองและนายอำเภอให้จัดการให้บุคคลที่สนับสนุนฝ่ายพระยามโนปกรณ์ฯ ได้รับเลือกตั้ง’ นอกจากนั้น พระยามโนปกรณ์นิติธาดายังได้ใช้อำนาจตามพระราชกฤษฎีกาแก้ไขพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง พ.ศ. 2475 กล่าวคือ เมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2476 นั้น โดยประกาศกฎหมายพร้อมกัน 3 ฉบับ ได้แก่ ‘พระราชบัญญัติการเลือกตั้ง พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2476’ ‘พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งผู้แทนตำบลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 พ.ศ. 2476’ และ ‘พระราชกฤษฎีกากำหนดจังหวัดเพื่อการเลือกตั้งตามความในพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2476’ การแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งทั้ง 3 ฉบับนี้ หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกล่าวว่าเป็นการแก้ ‘ในข้อความสำคัญ โดยที่พระยามโนปฯกับพวกได้นำเอาข้อความที่ตนเถียงแพ้ในขณะที่ร่างพระราชบัญญัติ กับที่ตนจำนนในทางปฏิบัติมาไว้เกือบทั้งสิ้น’”
ในตอนต่อไป ผู้เขียนจะได้นำความที่ธำรงศักดิ์ได้กล่าวถึง สาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปในกฎหมายเลือกตั้งของพระยามโนฯ มานำเสนอต่อไป
[1] ธีระ นุชเปี่ยม, ฝรั่งมองไทยในสมัยรัชกาลที่ 7: ตะวันออกที่ศิวิไลซ์, เพิ่งอ้าง, หน้า 182-183 ( [F 3113/42/40] “Mr. Dormer to Sir John Simon, 4 April 1933”. British Documents, pp. 97-98.)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'เท้ง' ถอนหงอก 'แม้ว' พูดคำโต แต่ทำไม่ได้!
หัวหน้าพรรคปชน. ซัด 'ทักษิณ' โชว์วิชั่น 'เศรษฐกิจดิจิทัล' อาจซ้ำรอย 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ที่เคยประกาศแจกพร้อมกันให้เกิดพายุหมุน แต่ต้องแบ่งเป็นเฟส แนะเลิกใช้ภาษีประชาชนแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ลั่นอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงจริง ไม่ใช่แค่คำพูดที่ดูโต แต่ทำไม่ได้
ถอดรหัส 'ทักษิณ' โชว์เขี้ยว! พลิกเกม-ขย้ำกลับ 'พรรคส้ม' เปิดแผลนั่งร้าน 'ธนาธร'
ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะ “พรรคประชาชน” ไม่เพียงแค่เป็น “ศึกซักฟอก” ครั้งแรกของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร แต่ยังถูกออกแบบมาให้กระทบชิ่งถึง “ทักษิณ ชินวัตร” โดยตรง
'เจิมศักดิ์' กาง 7 ข้อ วิเคราะห์ 'รัฐบาลแพทองธาร' กับค่าเสียโอกาสและผลกระทบ
'เจิมศักดิ์-นักวิชาการเศรษฐศาสตร์' ยก 7 ประเด็นสำคัญ สะท้อนถึงค่าเสียโอกาสและผลกระทบจากการดำรงตำแหน่งของนายกฯแพทองธาร ชินวัตร ชี้ความไม่ชัดเจนทางการเมืองและเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อการพัฒนาประเทศไทย
สืบจากศพ ‘หมอพรทิพย์’ พลิกปม ใครฆ่า...!!?? ‘อดีต ผกก.โจ้-แตงโม’ I อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร
สืบจากศพ ‘หมอพรทิพย์’ พลิกปม ใครฆ่า...!!?? ‘อดีต ผกก.โจ้-แตงโม’ อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม 2568
'ทักษิณ' ปัดล้างบางสว.สีน้ำเงิน รับคุย 'เนวิน-อนุทิน' เสถียรภาพรัฐบาลแน่น!
'ทักษิณ ชินวัตร' ปัดล้างบาง สว. สีน้ำเงิน เปิดปากยอมรับพูดคุยกับ 'อนุทิน-เนวิน' จริงแต่เป็นการให้คำปรึกษาเท่านั้น ไม่มีอำนาจสั่งการ พร้อมย้ำเสถียรภาพรัฐบาลยังคงมั่นคงดี ไม่มีปัญหา
ย้อนอดีตประจานปัจจุบัน! ยุคทักษิณเรืองอำนาจ บลัฟฝ่ายค้านให้ยืมเสียงซักฟอกตนเอง
‘ปิยบุตร’ ย้อนอดีตยุค ‘ทักษิณ’ เป็นนายกฯ ที่ไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชี้ 2 ปัจจัยหลัก หนุนอำนาจเบ็ดเสร็จ – เผยไทยรักไทยเคยมีเสียง ส.ส. มากถึง 377 เสียง ถึงขั้น ‘บลัฟ’ ให้ฝ่ายค้านยืมเสียงเพื่อตรวจสอบตนเอง