เหตุบ้านการเมืองก่อนสิ้นปี เป็นไปตามสภาพครับ
คะแนนนิยมของ "แพทองโพย" ลดลง ตามนิด้าโพล ที่เขาสำรวจ คะแนนนิยมทางการเมือง ไตรมาสสุดท้าย ที่ ๒๙.๘๕ % จากไตรมาส ๓ ที่สูงกว่านิดหน่อย ๓๑.๓๕%
แม้จะไม่มาก แต่ถือว่าหล่นจากจุดสูงสุด
ขณะเดียวกัน "เท้งเต้ง" ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคส้ม ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
จากไตรมาส ๓ ที่ ๒๓.๕๐% พุ่งขึ้นมาเป็น ๒๘.๘๐% ในไตรมาส ๔
แบบนี้ไม่ใช่เท้งเต้งแล้วครับ
เป็น "เท้งแทร่" คะแนนนอนมา
สาเหตุคะแนนนิยม "แพทองโพย" ดิ่งลง คงหนีไม่พ้น ความเป็นรัฐบาลพ่อเลี้ยง ถูก "ทักษิณ" ครอบงำ และบดบัง ในแทบจะทุกเรื่อง
นี่ก็เตือนไว้ก่อน ไอ้เรื่องดีลลับ ถ้ามีจริงระวังเสียรู้ "ทักษิณ"
ยิ่งใช้ "ทักษิณ" พรรคส้มยิ่งโต
สรุปแล้ว "ทักษิณ" น่ากลัวกว่า พรรคส้มเยอะ
พรรคส้มแค่เด็กอยากลองของครับ
เอานิ้วจิ้มไฟ เพราะไม่รู้ว่าไฟร้อน
ไม่นานก็รู้ครับว่า "ย่างสด" เป็นอย่างไร
ต่างจาก "ทักษิณ" ครับ ที่รู้ร้อนรู้หนาวมาอย่างโชกโชน
"ทักษิณ" ไม่ใช่เด็กอมมือ
การเล่นเกินดีลก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นธาตุแท้ของ "ทักษิณ"
ฉะนั้นหากหยุด "ทักษิณ" ไม่ได้ ก็ระวังสถานการณ์ตีกลับ เด็กถูกย่างสดจะฟื้นคืน เพราะประชาชนจำนวนมากหาตัวเลือกไม่ได้
เรื่องนักโทษเทวดา ชั้น ๑๔ คงจะเป็นจุดตายของ "ทักษิณ" แล้ว
ยิ่งกว่าคดี ม.๑๑๒ เสียอีก
สมาชิกแพทยสภาเขาทนเรื่องนี้ไม่ได้อีกแล้วครับ
หมอถึงได้ออกมาถลกหนังหัวหมอด้วยกัน!
หนังสือที่คณะสมาชิกแพทยสภาจำนวนหนึ่ง ยื่นถึง ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี ประธานอนุกรรมการสอบสวนคดีจริยธรรม คณะแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ และคณะแพทย์ในสังกัดกรมราชทัณฑ์ กรณีป่วยทิพย์ คือความจริงเชิงประจักษ์
การแพทย์เป็นวิทยาศาสตร์มันตบตากันไม่ได้
มี ๖ ประเด็นที่คณะแพทย์ต้องการให้แพทยสภาช่วยสอบเพิ่มเติ่ม
มีบางประเด็นซึ่งเป็นเรื่องเทคนิคมากๆ ชาวบ้านอย่างเราๆ ไม่รู้หรอกครับ คือการผ่าตัดหัวไหล่ของ "ทักษิณ"
หนังสือของคณะแพทย์ ตั้งข้อสังเกตไว้ดังนี้ครับ...
"...กระดูกหัก/ข้อเคลื่อนจากอุบัติเหตุร้ายแรง หรือความผิดปกติของข้อไหล่ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทสำคัญตรงกลุ่มเส้นประสาทในรักแร้ และหลอดเลือดใหญ่ใต้กระดูกไหปลาร้าและในรักแร้เท่านั้น ที่เป็นข้อบ่งชี้ให้ทำการผ่าตัดข้อไหล่ในผู้สูงอายุมากกว่า ๗๐ ปี หากผู้ป่วยรายนั้นมีวิกฤตทางอายุรกรรมร่วมด้วย ซึ่งความผิดปกติของข้อไหล่เช่นนั้น สามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจร่างกาย, Plain X-ray และ CT Scan ซึ่งให้ข้อมูลได้ละเอียดเพียงพอในเวลาอันสั้น มิใช่ MRI ที่กินเวลานานกว่ามาก
การเจ็บป่วยอื่นใดของข้อไหล่ ซึ่งไม่ใช่กระดูกหัก/ข้อเคลื่อนจาก Major Injury หรือทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทสำคัญตรงกลุ่มเส้นประสาทในรักแร้ Brachial Plexus และหลอดเลือดใหญ่ใต้กระดูกไหปลาร้าและในรักแร้ในผู้สูงอายุมากกว่า ๗๐ ปี ขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในวิกฤตทางอายุรกรรม เป็นการเจ็บป่วยที่ไม่จำเป็นต้องทำผ่าตัดแบบฉุกเฉิน สามารถรักษาตามอาการแบบประคับประคอง เช่น ใช้ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบพวก NSAID, ยาคลายกล้ามเนื้อ, การทำกายภาพบำบัดประคบร้อน เย็น นวด หรือคลื่นเสียง จนกว่าจะพ้นภาวะวิกฤตทางอายุรกรรมแล้วเท่านั้น
การทำผ่าตัดทางกล้องที่ข้อไหล่เป็นหัตถการทางศัลยกรรมสำหรับเฉพาะโรคที่รอได้ จะทำต่อเมื่อผู้ป่วยนั้นไม่มีภาวะวิกฤตแล้วเท่านั้น เพราะต้องใช้การวางยาสลบ ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงอย่างสำคัญโดยไม่จำเป็นต่อหัวใจ ระบบไหลเวียนและปอดในผู้ป่วยผู้สูงอายุมากกว่า ๗๐ ปี หากมีสภาพวิกฤตทางอายุรกรรม
การตรวจข้อไหล่ด้วย MRI ถือเป็นข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยวิกฤต เพราะใช้เวลานาน และสนามแม่เหล็กกำลังสูงมากในห้อง MRI ขัดขวางหรือทำให้เกิดอันตรายได้จากอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เป็นเหล็ก เช่น เข็มฉีดยา มีด กรรไกร ไฟฉาย Laryngoscope (เครื่องสอดใส่ท่อช่วยหายใจ) ดังนั้นแล้วหากนายทักษิณป่วยวิกฤตจริง ขอให้ท่านและแพทยสภากล่าวหาและดำเนินการสอบสวนศัลยแพทย์สาขากระดูกและข้อ รังสีแพทย์ และวิสัญญีแพทย์ ผู้มีส่วนร่วมในการตรวจวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยรายนี้ ให้ครบถ้วนด้วยทุกสาขา เพราะแพทย์เหล่านั้นได้สั่งการตรวจและรักษาโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยซึ่งอยู่ในสภาพวิกฤต ทั้งที่โรคของข้อไหล่เป็นภาวะที่รอได้ ซึ่งไม่มีความจำเป็นรีบด่วน
ในทางตรงกันข้าม หากนายทักษิณ ชินวัตร มิได้ป่วยสภาพวิกฤตจริงแล้วไซร้ (ซึ่งยืนยันโดยพฤติการณ์ที่ได้รับการตรวจ MRI และการผ่าตัดส่องกล้องข้อไหล่ภายใต้การวางยาสลบ) แพทย์ผู้ใดที่โฆษณาหรือได้ทำเอกสารสำแดงความเท็จรับรองว่าผู้ป่วยมีสภาพวิกฤต ย่อมประพฤติมิชอบ ฝ่าฝืนมาตรฐานวิชาชีพเวชกรรมอย่างร้ายแรง ใช้วิชาชีพแพทย์โดยทุจริตเพื่อช่วยให้ผู้ต้องโทษหลีกเลี่ยงการรับโทษจำคุกในทัณฑสถาน
อนึ่ง ปรากฏข้อเท็จจริงในทางการแพทย์ว่า ผู้สูงอายุที่อยู่ในโรงพยาบาลเพียงสัปดาห์เดียว ไม่ว่าจะต้องนอนอยู่ในเตียงตลอด หรือจำกัดการเดินในห้องพักผู้ป่วย ย่อมจะเกิดภาวะสภาพการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ คือภาวะของมวลกล้ามเนื้อลดลง กล้ามเนื้อลีบลง เช่นสภาพของพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ป่วยเป็นปอดอักเสบเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลสองสัปดาห์ หลังจากนั้นต้องฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังออกจากโรงพยาบาลเป็นเวลานาน
แต่ในผู้ป่วยรายนี้ ปรากฏต่อสาธารณะว่า นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ป่วยมิได้มีสภาพการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ดังนั้นแล้ว จึงเป็นข้อพิรุธว่า ผู้ป่วยมิได้ป่วยด้วยสภาพวิกฤตตั้งแต่ต้น และมิได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยวิกฤตใน รพ.ตำรวจ มิได้มีการจำกัดการเคลื่อนที่และการเดินบนชั้น ๑๔ และเป็นหลักฐานที่แสดงว่า คณะแพทย์ฯ ได้ทำหนังสือเอกสารลงบันทึกการตรวจรักษาในเวชระเบียน หรือออกใบรับรอง หรือสำแดงอาการป่วยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นเท็จว่าผู้ป่วยป่วยแบบวิกฤต ขณะรักษาอยู่ ณ ชั้น ๑๔
หากนายทักษิณป่วยวิกฤตจริง แต่มีการทำกายภาพบำบัดเพื่อป้องกันสภาพมวลกล้ามเนื้อลีบ ย่อมจะต้องมีบันทึกของแพทย์ฟื้นฟู Rehabilitation Medicine, นักกายภาพบำบัด Physiotherapist และแพทย์สาขาผู้สูงอายุ Geriatrician อีกทั้งยังต้องมีการตรวจรักษาภายหลังจากออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว ดังนั้น จึงขอให้ท่านตรวจสอบหลักฐานดังกล่าว..."
ครับ...อย่างที่บอก การแพทย์คือวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์
ไม่มีหรอกครับคนแก่อายุ ๗๐ กว่า ป่วยวิกฤตหนักห่างหมอไม่ได้ นอนโรงพยาบาลร่วมๆ ๕ เดือน กลับออกมาปุ๊บเดินตัวปลิว
ผู้ป่วยวิกฤตหนัก เป็นตายเท่ากัน หมอจับทำ MRI รวมทั้งวางยาสลบ!
อีกไม่นานคงจะรู้ว่าใครสลบ ใครถูกริบใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ
จากนั้นถึงคิวอดีตนักโทษที่ไม่เคยติดคุกแม้แต่วันเดียว
กลับไปเข้าคุกครับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
๒๕๖๘ อันธพาลการเมือง
ที่สุดแห่งปีในปีที่แล้วไม่มีใครเกิน "หมูเด้ง" เกิดมาเพื่อดังจริงๆ ไม่ใช่ดังธรรมดา แต่ดังข้ามทวีป คนรู้จักไปทั่วโลก
'ยิ่งลักษณ์' จะกลับมา
สิ้นปีแล้ว...แทนที่จะได้พักหูบ้าง "พ่อริ-ลูกยำ" สมุนตาม ชาวบ้านด่ากันขรม ยังไม่พออีกหรือ
'ด.ญ.แพทองโพย'
ชอบครับ.... คำขวัญวันเด็กจากนายกรัฐมนตรีปีนี้ "...ทุกโอกาสคือการเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง..."
ผนงรจตกม.
รัฐบาลนี้แปลกครับ... บอกว่าข้างหน้ามีเหว อย่าเดินไป
จะเห็นปรากฏการณ์ใหม่
มวยถูกคู่จริงๆ "ทักษิณ-จตุพร" แค้นมันลึกจนปลายตีนไม่น่าจะหยั่งถึงแล้ว วิถีของทั้ง ๒ คน น่าจะบรรจบได้ยาก แต่จะเกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นมาแทน
'ทักษิณ' ภาคสุดท้าย
เป็นพื้นฐานของคนจริงๆ ครับ ความฉิบหายวายป่วงของรัฐบาลระบอบทักษิณช่วงปีที่ผ่านมา ไม่ใชเรื่องคนอื่นทำ หรือเกิดจากการกลั่นแกล้งแต่อย่างใด