ประชาธิปไตยเหมือนกัน
แต่คนละระบอบ
ฉะนั้นเบื้องต้นต้องเข้าใจระบอบการปกครองของเกาหลีใต้ ก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลเกาหลีใต้เอาอย่างไทย
เกาหลีใต้ปกครองโดยระบอบประธานาธิบดี
ส่วนไทย ระบอบรัฐสภา ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
รัฐประหารในเกาหลีใต้จบมานานแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๕๒๒ ตรงกับยุครัฐบาลพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ของไทย ซึ่งก็ยังคงวนเวียนอยู่กับการรัฐประหารเช่นกัน
เหตุการณ์ที่เกาหลีใต้เมื่อคืนวันที่ ๓ ธันวาคม ที่ผ่านมา อาจจะใกล้เคียงกับคำว่ารัฐประหาร แต่ยังไม่ใช่รัฐประหาร
แม้จะมีการประกาศกฎอัยการศึกโดย ประธานาธิบดี ยุน ซอก-ยอล แต่คอการเมืองเกาหลีใต้ก็รู้อยู่แล้วว่า ไม่สามารถพัฒนาไปสู่การรัฐประหารได้เลย
นั่นเพราะความไม่ชัดเจนในเงื่อนไข อีกทั้งรัฐบาลยังเป็นเสียงข้างน้อยในสภาฯ
กฎอัยการศึก คือกฎหมายซึ่งตราไว้สําหรับประกาศใช้เมื่อมีเหตุจําเป็นอย่างยิ่งยวด เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ
เช่น เกิดสงคราม การจลาจล
เป็นการเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอํานาจหน้าที่เหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน ในส่วนที่เกี่ยวกับการระงับปราบปรามหรือการรักษาความสงบเรียบร้อย
แต่สถานการณ์ในเกาหลีใต้ ไม่เฉียดคำว่า สงคราม หรือจลาจลเลย
ตามภาพข่าวจึงเห็นปืนทหารที่เข้าล้อมอาคารรัฐสภาจำนวนมากไม่ได้ใส่แมกกาซีน บางนายใส่โครงนำลูกเลื่อนแบบฝึกสีฟ้า ซึ่งยิงกระสุนจริงไม่ได้
ผู้บัญชาการทหารเองคงวิเคาะห์ออกว่าจุดจบของเรื่องจะเป็นอย่างไร
ซึ่งเรื่องก็เป็นไปตามที่ควรจะเป็น คือกองกำลังทหารถอนออกจากอาคารรัฐสภาทั้งหมด เปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาราว ๑๙๐ คน จากทั้งหมด ๓๐๐ คน เข้าร่วมการประชุมเพื่อยกเลิกประกาศกฎอัยการศึก
การลงมติเป็นเอกฉันท์ทั้ง ๑๙๐ เสียง ซึ่งมาจากพรรคฝ่ายค้านที่ครองเสียงข้างมากในสภา
ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับ ประธานาธิบดี ยุน ซอก-ยอล ในข้อหากบฏ
นักการเมืองสีส้มของไทยนำเรื่องนี้มาปั่นว่า หากมีการรัฐประหารในไทย จะต้องใช้เกาหลีใต้โมเดล
บ้างก็ว่าเกาหลีใต้รัฐประหารไม่สำเร็จเพราะไม่มีสถาบันไหนรับรอง
เลยเถิดไปถึงเพราะเกาหลีใต้ยังบังคับเกณฑ์ทหาร ทำให้ทหารมีบทบาท
ให้ความเห็นแบบนี้ ไปกินนมนอนยังมีประโยชน์กว่าครับ
รัฐประหารในไทยนั้นต่างไปอย่างสิ้นเชิง
แทบทุกครั้งมักอ้างเรื่อง การคอร์รัปชันของฝ่ายการเมือง
จะสมเหตุสมผลหรือไม่ แต่ในข้อเท็จจริง การคอร์รัปชันมีเกิดขึ้นในแทบทุกรัฐบาล และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด
เกาหลีใต้สามารถผ่านยุคไม่มีรัฐประหาร และปราบคอร์รัปชัน มาได้อย่างน่าชื่นชม
แต่ไทยมิได้เป็นเช่นนั้น
การคอร์รัปชันยังคงเป็นสาเหตุนำไปสู่การรัฐประหาร
แต่นักการเมืองเอาแต่เรียกร้องว่าต้องหาทางหยุดรัฐประหารให้ได้ ขณะที่มืออีกข้างยังคงรับผลประโยชน์จากใต้โต๊ะอยู่
คำให้สัมภาษณ์ของ "รังสิมันต์ โรม" เหมือนจะรู้ แต่รู้ไม่หมด
"...ดูเหมือนทางทหารของเกาหลีใต้ มีความยั้งๆ อยู่ แล้วจะเห็นว่าภาคประชาชนของเกาหลีใต้ ก็มีความกระตือรือร้นในการออกมาปกป้องประชาธิปไตยในระดับที่สูงมาก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีความสำคัญที่จะทำให้ประชาธิปไตยในเกาหลีใต้เดินหน้า
แต่ต้องยอมรับว่าการรัฐประหารปี ๒๕๕๗ ของไทย ความเข้มแข็งของฝ่ายการเมือง การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ ดูเหมือนจะพร้อมใจปฏิบัติและเชื่อฟังในสิ่งที่คณะรัฐประหารกำหนด ถ้าเป็นแบบนี้ โอกาสที่เราจะเห็นรัฐประหารครั้งสุดท้ายคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นคงเป็นบทเรียนสำคัญที่เราเรียนจากเพื่อนบ้าน และเรียนจากตัวเราเองเมื่อ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗
เรารู้แล้วการรัฐประหารไม่ใช่สิ่งที่ควรจะยอมรับ และก่อวิกฤตปัญหาจำนวนมาก ซึ่งเราจะเห็นว่าสภาต้องเสนอร่างกฎหมายในการยกเลิกคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ใช้เวลาและงบประมาณเยอะมาก
เพราะฉะนั้นต้องระลึกได้แล้วว่าปัญหาการรัฐประหารแบบนี้ การที่ฝ่ายกองทัพจะมาอยู่เหนืออำนาจประชาชนควรจะพอได้แล้ว และหลักการสำคัญของทั่วโลก ถ้าไปประเทศที่เจริญแล้ว คือกองทัพต้องอยู่ใต้พลเรือน
ก็หวังว่าเราจะใช้โอกาสนี้ทำให้ประเทศไทยมีระบบกฎหมายที่เข้มแข็ง และทำให้กองทัพอยู่ใต้พลเรือนอย่างแท้จริง..."
เห็นด้วยครับว่า รัฐประหารไม่ควรเกิดขึ้นอีก
แต่ "รังสิมันต์ โรม" ก็ไม่ได้พูดถึงสาเหตุของการทำรัฐประหาร อย่าว่าอื่นไกลเลยครับ กรณีทุจริตจำนำข้าว พรรคส้มตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล มาถึงพรรคประชาชนแทบไม่แตะเลย
การที่ "รังสิมันต์ โรม" ตำหนิว่าฝ่ายการเมืองพร้อมใจปฏิบัติและเชื่อฟังในสิ่งที่คณะรัฐประหารกำหนด ก็อาจเป็นเพราะไม่เคยมีประสบการณ์ตรงด้วยตัวเอง
ก็ไม่แปลกหรอกครับเมื่อรัฐประหารแล้วนักการเมืองเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำตามทหารสั่ง
โดยเฉพาะนักการเมืองโกง
ที่จริง "รังสิมันต์ โรม" กับพรรคพวกในพรรคส้มเองก็มีประสบการณ์น้ำท่วมปากคล้ายๆ กันนี้
เคยเกิดกรณี สส.พรรคส้มละเมิดทางเพศ ขณะนั้นแทบจะหานักการเมืองในพรรคส้มให้ความเห็นไม่ได้เลย
ก้มหน้าก้มตาปิดปากเงียบกันหมด
"รังสิมันต์ โรม" ก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
กว่าจะตั้งหลักได้ ว่าต้องตอบกับสังคมที่คาดหวังกับพรรคส้มอย่างไร ก็ใช้เวลานับเดือน
พูดง่ายๆ เรื่องต่อต้านรัฐประหารต้องใช้ความกล้าอย่างมาก เพราะอาจถูกจับไปนอนกินโอเลี้ยง ข้าวผัด ฟรีๆ ได้
แต่เรื่อง สส.ร่วมพรรค ก่อคดีละเมิดทางเพศ มันยากเย็นอะไรนักหนาที่จะอธิบายต่อสังคม
เหม็นขี้ฟันครับ!
เกาหลีใต้ให้อำนาจประธานาธิบดีเป็นผู้ประกาศกฎอัยการศึก
ขณะที่ไทย การประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
นี่คือความแตกต่าง
เมื่อเกาหลีใต้ไม่เกิดการรัฐประหารนานแล้ว การกระทำของ ประธานาธิบดี ยุน ซอก-ยอล จึงถูกมองเป็นเรื่องความจนตรอกทางการเมือง มากกว่าการจะนำไปสู่การรัฐประหาร
แต่การรัฐประหารในไทย จริงจัง และเด็ดขาด สั่งปิดเทอม ส่ง สส.กลับบ้านทุกครั้ง
ประชาธิปไตยเกาหลีเขาพัฒนาไปไกลกว่าไทยมาก สาเหตุไม่ใช่เพราะไม่มีรัฐประหาร แต่เพราะเขาปราบคอร์รัปชันกันอย่างจริงจัง
พูดแล้วลงมือทำ
แต่ในไทยวันนี้ ยังต้องจับตาดูกันอยู่ครับว่า รัฐบาลจะโกงตอนไหน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯ ช่วยนักโทษหนีคุก
"เฒ่าโจ" ช่างร้ายกาจมาก... ข่าวต่างประเทศที่อื้อฉาวที่สุด ณ วินาทีนี้ คงหนีไม่พ้น "โจ ไบเดน" ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามอภัยโทษให้ "ฮันเตอร์ ไบเดน" ก่อนการฟังคำพิพากษา คดีซื้อปืนผิดกฎหมาย และเลี่ยงภาษี ช่วงกลางเดือนนี้
ถึงเวลาของ 'บุญทรง'
"กูพูดไม่ได้" คนที่พูดประโยคนี้ออกจากคุกแล้วครับ และจะพ้นโทษ ๒๑ เมษายน ๒๕๗๑
เสียค่าโง่ให้กัมพูชา
ดีครับ... เอา MOU 44 เข้าไปถกในสภาฯ
ก็เลี้ยงหลานไง!
อย่าเพิ่งเบื่อ กับการเขียนถึง MOU 44 ซ้ำแล้วซ้ำอีกนะครับ เพราะผลกระทบจะมากกว่าการเสียเขาพระวิหาร
'เพ็ญแข'อธิบาย'ส้ม'
ถึงกับ...ลิ้นพัน! "คุณเพ็ญแข" หาลงทาง กลายเป็นทัวร์ลงซะงั้น
ระวังไม่มีแผ่นดินอยู่
ลุกเป็นไฟในโซเชียลครับ... กับคำพูดของ "จักรภพ เพ็ญแข"