'ป่าส้ม' ล้อมเมือง

นับเป็นมิติใหม่ทางการเมือง...

ปกติเลือกตั้งท้องถิ่น ไม่ใคร่จะเป็นที่สนใจของประชาชนในวงกว้างทั้งประเทศนัก 

ส่วนใหญ่คึกคักจังหวัดใครจังหวัดมัน

หลายครั้งคนในจังหวัดอื่นไม่รู้ด้วยซ้ำว่า อีกจังหวัดมีเลือกตั้ง อบจ., อบต., เทศบาล ฯลฯ ทั้งๆ ที่อยู่ติดกัน

แต่เลือกตั้งท้องถิ่นนับแต่มีพรรคส้มขอแบ่งเค้ก กลับมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่คึกคักเป็นพิเศษ

กลายเป็นงานการเมืองระดับชาติ!

ก็ดูเลือกตั้ง อบจ.อุดรธานี ที่จะมีขึ้นในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน นี้สิครับ พรรคส้ม กับ พรรคเพื่อไทย ขนนักการเมืองระดับพระกาฬ ขึ้นเวทีปราศรัย ราวกับเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี

มันเกิดอะไรขึ้น?

ก่อนนี้หลายสนามเลือกตั้งก็คึกคักไม่แพ้กัน เช่น เลือกนายก อบจ.ปทุมธานี ราชบุรี นักการเมืองระดับบิ๊กๆ ปราศรัยใส่กันยับ

ทำไมเลือกตั้งท้องถิ่นกลับมามีความสำคัญในสายตาหลายๆ พรรคการเมือง

การเลือกตั้ง สส. ๒ ครั้งหลังที่ผ่านมา บรรดาบ้านใหญ่ หลายจังหวัดถูกตีแตกย่อยยับ จากคนรุ่นใหม่

แต่เลือกตั้งท้องถิ่นกลับหัวกลับหางกันอย่างสิ้นเชิง

บ้านใหญ่ ยึดพื้นที่เดิมไว้ได้

ส่วนคนรุ่นใหม่แพ้แทบทุกสนาม   

ก็เป็นที่ทราบกันครับ สนามเล็ก สนามใหญ่ มีความแตกต่างกัน

โหวตเตอร์รุ่นใหม่ไม่ค่อยให้ความสนใจกับสนามท้องถิ่น เพราะมองเป็นเรื่องไกลตัว

รวมทั้งในชีวิตประจำวันแทบไม่ได้พึ่งพานักการเมืองท้องถิ่น

ต่างกับการเมืองระดับชาติ คือ สส. คนรุ่นใหม่มองว่าหากเปลี่ยนประเทศต้องเปลี่ยน สส.

ขณะที่บ้านใหญ่มีฐานเสียงจัดตั้งชัดเจน

และวิถีชาวบ้านยังคงพึ่งพานักการเมืองท้องถิ่นอยู่มาก

แต่ก็แปลกครับ..."อุดรโพล" กลับมีผลสำรวจออกไปอีกทาง

หรือว่าการเมืองพลิกผันครั้งใหญ่

"อุดรโพล” ของ ผศ. ดร.เสกสรร สายสีสด หัวหน้าหลักสูตรนิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ระบุว่า

"คณิศร ขุริรัง" ผู้สมัครจากพรรคประชาชน มีคะแนนนิยม มาเป็นอันดับ ๑ คิดเป็นร้อยละ ๓๒.๖

ขณะที่ "ศราวุธ เพชรพนมพร" ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ได้เพียงร้อยละ ๑๕.๒

ห่างกันเท่าตัว!

นี่ขนาดตัวพ่ออย่าง "ทักษิณ ชินวัตร" ลงไปประกาศคำสั่งให้รัฐบาลทำตามหลายนโยบาย คนอุดรฯ ฟังแล้ว ส่ายหัวอย่างนั้นหรือ

เมืองหลวงคนเสื้อแดง จะกลายเป็นสุสานการเมือง "ทักษิณ" หรือเปล่า

แต่...ร้อยละ ๔๗.๙ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกใครนี่สิครับ คือตัวตัดสินว่า ใครจะเข้าวิน

ก็อยู่ที่ว่าจะสวิงไปฝั่งไหน

ประเด็นที่่น่าสนใจอยู่ที่ยุทธศาสตร์การเลือกตั้งครับ

"ผศ. ดร.เสกสรร" บอกว่า  

"...แต่ที่เห็นชัดเลยคือ ในตัวเมือง-อำเภอเมือง ฝ่ายผู้สมัครพรรคสีส้ม จะได้คะแนนสูง เพราะมีฐานคะแนนอยู่หากดูจากการเลือกตั้ง สส. ปี ๒๕๖๖ ที่ตอนนั้นพรรคก้าวไกลเอาชนะได้ สส.เขต ๑ อำเภอเมืองมา และคะแนนส่วนนี้อาจจะมีผลมาถึงการเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานีด้วย

อย่างไรก็ตาม ในอำเภอ-พื้นที่รอบนอก ส่วนใหญ่จะเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ เพื่อไทย ทำให้พื้นที่รอบนอกคะแนน คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อไทย..."

"...การมาอุดรธานีของทักษิณและนายพิธา มีผลต่อการลงคะแนนเสียงของคนอุดรธานีมาก สร้างกระแสได้อยู่ เพราะแสดงให้เห็นว่าเขาเห็นความสำคัญของคนอุดรธานี

แบบนี้ ยังไง คนอุดรธานี ก็ต้องคิดว่ายังไงต้องไปเลือกตั้ง เพราะมีแต่เบอร์ใหญ่ๆ มาลงพื้นที่อุดรธานี หากเพื่อไทยอยากได้คะแนนเยอะๆ ต้องใช้ยุทธวิธี ป่าล้อมเมือง

คือจากปกติ ที่คนจะมาใช้สิทธิ์กันประมาณ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ เพื่อไทยต้องใช้วิธีป่าล้อมเมือง คือทำให้คนอุดรธานี ออกมาใช้สิทธิ์มากขึ้น คือไปที่ระดับออกมา ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ในเขตรอบนอก เพื่อมาตีกระแสของพรรคส้มในอำเภอเมืองให้ได้..."

 “...ยุทธวิธีแบบ ป่าล้อมเมืองน่าจะใช้ได้ เพราะในเมืองพรรคสีส้มแข็งพอสมควร ดูได้จากการปราศรัยใหญ่ของพรรคส้มที่เวทีหนองประจักษ์เมื่อคืนวันเสาร์ คนไปฟังกันเยอะมาก ห้าทุ่มแล้วคนยังอยู่กันที่หนองประจักษ์ ไม่ยอมเลิก

ก็แสดงว่ากระแสพรรคส้มแรงอยู่ สถานการณ์ในพื้นที่อุดรธานี ตอนนี้ดุเดือด เข้มข้น และคงเป็นแบบนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้ง..."

คนอุดรฯ เขามองแบบนั้นครับ

แต่คุ้นๆ ว่า พรรคส้มพยายามสร้างฐานการเมืองระดับท้องถิ่น เพื่อตีโอบระดับประเทศ

นี่ก็ป่าล้อมเมือง

การเลือกตั้ง ๒ ครั้งที่ผ่านมา พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล มีเสียงสนับสนุนหนาแน่นใน กทม. และเขตเมืองในจังหวัดต่างๆ

ส่วนรอบนอกยังเสร็จบ้านใหญ่อยู่

เป้าหมายของพรรคส้มคือ ชนะเลือกตั้งถล่มทลาย ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวให้ได้

ฉะนั้นการเลือกตั้งท้องถิ่นจึงมีความสำคัญกับพรรคส้มเป็นอย่างมาก แต่ที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จ

วัตถุประสงค์การตั้งรัฐบาลพรรคเดียวของพรรคส้ม ก็อย่างที่ทราบกัน ต้องการนโยบายบริสุทธิ์ของพรรคส้มล้วนๆ ไม่มีพรรคการเมืองอื่นปน

เพื่อให้ประเทศไทยกลับมาเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

คำนี้เราได้ยินกันบ่อยช่วงการเลือกตั้ง สส.ปีที่ผ่านมา

"ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" เจ้าของพรรคส้มตัวจริง เคยประกาศเอาไว้ว่า...

"...พรรคประชาชน ต้องทำให้ดีกว่าก้าวไกล พรรคมวลชนที่เข้มแข็งคืออาวุธเดียวที่ประชาชนมีในการสร้างการเปลี่ยนแปลง เส้นขอบฟ้าทางการเมืองของเรา คือการเลือกตั้ง ๒๕๗๐ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ ๓ หลังจากการตั้งพรรคอนาคตใหม่ มีเวลาอีก ๓ ปีจะถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า

พรรคที่กุมข้อเสนอทางการเมืองที่แหลมคม แต่ไม่มุทะลุจนเสียงาน พรรคที่ทำงานอย่างหนัก เสียสละเพื่อประชาชน  นี่คือพรรคใหม่ที่จะนำพวกเราสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า..."

ก็ไม่ทราบว่าเส้นขอบฟ้าทางการเมืองคืออะไร แต่วันนี้พรรคส้มพยายามไปให้ถึงจุดนั้น

ด้วยการยึดสนามเลือกตั้งทุกระดับเอาไว้ให้ได้

ขนลุกครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ผนงรจตกม.

รัฐบาลนี้แปลกครับ... บอกว่าข้างหน้ามีเหว อย่าเดินไป

จะเห็นปรากฏการณ์ใหม่

มวยถูกคู่จริงๆ "ทักษิณ-จตุพร" แค้นมันลึกจนปลายตีนไม่น่าจะหยั่งถึงแล้ว วิถีของทั้ง ๒ คน น่าจะบรรจบได้ยาก แต่จะเกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นมาแทน

'ทักษิณ' ภาคสุดท้าย

เป็นพื้นฐานของคนจริงๆ ครับ ความฉิบหายวายป่วงของรัฐบาลระบอบทักษิณช่วงปีที่ผ่านมา ไม่ใชเรื่องคนอื่นทำ หรือเกิดจากการกลั่นแกล้งแต่อย่างใด

โกงซ้อนโกง

ต้องยกนิ้วให้ครับ อย่าเข้าใจผิด...นิ้วโป้ง ครับ ฉายารัฐบาลถ้าไม่มีฉายา “พีระพัง” ร่วมด้วย บอกตรงๆ ว่า จืดไปเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่า ฉายารัฐบาล และรัฐมนตรี จะออกมาแนวนี้

"ทักษิณ" ยังต้องการอำนาจ

ยังคาใจกันเยอะครับ... ตั้งแต่ "ทักษิณ ชินวัตร" กลับมาไทยในรอบ ๑๗ ปี จากนักโทษที่ไม่ยอมติดคุก เพราะป่วยวิกฤตห่างหมอไม่ได้ มีความเสี่ยงเสียชีวิตสูง

อนาคต'ส้ม-แดง'จับมือ

เข้าใจตรงกันนะครับ... ขอชมสักวัน "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" เจ้าของตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี วิเคราะห์การเมืองได้ตรงใจจริงๆ