เรื่องที่ 'ลูกไม่ได้บอกพ่อ'

เหมือน "ดูหนังร่วมจอ" จบ

ก็จะมานั่งเมาท์กัน "เป็นไงวะ...หนุกมั้ย"?

บ้างก็ว่าสนุก บ้างก็ว่าห่วยแตก บ้างก็ว่า "พระเอกโม้สะบั้นหั่นแหลก"

หลายคนถามเชิงฉงน "ตกลงพระเอกกับตัวโกง ใช่ตัวเดียวกันเปล่าวะ?

ส่วนความเห็นผม เสือ-จระเข้-งู ตายเพราะลายหนัง  หมาตายเพราะน้ำลายฟูมปาก คนตายเพราะลิ้นตวัดรัดคอตัวเอง!

เรื่อง "ลูกสอนพ่อ" ฉันใด ก็ฉันนั้น

และนับวัน พ่อใกล้ต้อง "กรอหนังกลับ" ไปรับโทษคุกจริงอยู่รอมร่อ!

ที่ขึ้นจ้อบนเวที "อุดรธานี" ๒ วันซ้อน ทำชาวบ้าน-ชาวเมืองซื้ดซ้าดกันตอนนี้ ก็ประมาณนั้น

ผมเข้าใจเขานะ คนใหญ่จนเคยตัว ถึงถูกตัดสิทธิทางการเมืองจากโทษอาญาทุจริต-คอร์รัปชันแล้ว

แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงบทเบ่ง "กู...นายใหญ่รัฐบาล"!              เป็น "พ่อนายกฯ" เป็นเจ้าของพรรคที่เป็น "แกนนำรัฐบาล"

 แม้ประเทศนี้ ก็ยัง "สั่งได้"

"กู...เล็กหรือใหญ่" คิดกันเองละกัน!?

แต่ก็นั่นแหละ อย่างในหนังฝรั่ง ที่ตำรวจตอนจับผู้ร้ายจะบอกว่า "คุณมีสิทธิที่จะไม่พูด เพราะคำพูดของคุณอาจใช้เป็นพยานในชั้นศาล”

ตอนนี้ "คำใหญ่-คำโต" ที่คิดว่าโก้และเท่ตอนตะโกนบนเวทีนั้น น่าจะได้รับการบันทึกเป็นพยานมัดตัวคนพูดในชั้นศาลเรียบร้อยแล้ว!

วลี "เกริ่นนำบท" ที่ว่า...."นายกฯ อิ๊งเขาบอกผมว่า..” แล้วตัวเองก็พล่ามน้ำไหลไฟดับนั้น คนฟังที่ไม่ใช่ควาย เขาเข้าใจทั้งนั้นว่า

ตัวพ่อนั่นแหละ "พูดเอง-สั่งเอง" แต่เกรงผิด พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา ๒๘, ๒๙ เรื่อง "ครอบงำ-ชี้นำพรรค"

เลยพูดทำเป็นเลี่ยงว่า "นายกฯ อิ๊งเล่าให้ฟัง" อย่างนั้น-อย่างนี้ แต่หนีไม่พ้นหรอกว่า....

"บุคคลอื่่นอันมิใช่สมาชิกพรรค" เข้าไปควบคุม ครอบงำหรือชี้นำพรรค และทั้งพรรค ก็ยอมให้ควบคุม ครอบงำและชี้นำ!"

นายกฯ อิ๊งบอกว่า.....

"โครงการดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบพายุหมุน

โดยแอปพลิเคชันที่ดำเนินการ จะแล้วเสร็จในช่วงเดือน มีนาคม ๒๕๖๘

จากนั้น จะให้เด็กรุ่นใหม่ทดลองใช้ ก่อนที่จะนำไปปรับใช้ในการจ่ายค่าสาธารณูปโภคต่างๆ"

อุ๊งอิ๊งนี่น่ะนะ "คิดเอง-สั่งเอง" ได้ขนาดนี้?!

นอกจากนั้น พ่อนายกฯ "ยังหลุด" ให้คนฟังจับไก่ รู้ตัวที ก็ทำไก๋ที เป็นว่า "นายกฯ อิ๊งบอก" พัลวันกันไปหมด เช่น

"ผมเองใช้เงินส่วนตัว ๓๐๐ ล้านบาท จ้างชาวต่างชาติ ปรับปรุง "โอท็อป" ครั้งใหญ่

อีกไม่นานเขาจะเปิดตัว ว่าจะต้องรื้อไปทำอะไรเพื่อปรับปรุงโอท็อปไปขายทั่วโลก แล้วจะมาเสนอนายกฯ อิ๊ง โดยที่ไม่เก็บเงิน เพราะจ่ายเงินไปแล้ว

และได้บอกด้วยว่า "ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับปรุงโครงสร้างหนี้  โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน"

แค่ ๒ เรื่องนี่ก็ยิ่งกว่า "ใบเสร็จ" ซะอีก!

ถ้านายกฯ อิ๊ง "คิดเป็น-ทำเป็น" อย่างที่บอกพ่อแต่ละเรื่องละก็นะ คนไทยคงไม่ต้องเอานิ้วก้อยยัดรูหูแทบทุกครั้ง ที่เห็นนายกฯ แถลงหน้าจอ

นิด้าทำโพลถามชาวบ้านทีซิว่า....

เชื่อหรือไม่ ที่ตัวพ่อ "ควักเงินบริสุทธิ์" ของตัวเอง ๓๐๐ ล้าน จ้างต่างชาติปรับปรุงโอท็อป "เพื่อชาติ" โดยตัวเองไม่หวังและเล็มหรือมีเป้าหมายอื่นซ่อนเร้น?"

และนี่การ "แทรกแซงแบงก์ชาติ" เริ่มออกลายให้เห็น

"ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน"

แค่ส่ง "นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง" เข้าไปในแบงก์ชาติในตำแหน่ง "ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ" ได้แค่ครึ่งตัวนะเนี่ย

ถ้าผ่านขั้นตอนเข้าไปเป็นเต็มตัวละก็ .......

การเมืองมิเข้าไปครอบงำนโยบายการเงินและลากการเงินไปเป็นเครื่องมือให้การคลัง เพียงหวังผลทางการเมืองในระยะสั้นหรือนั่น?

แล้วหายนะก็จะเกิดกับประเทศในด้านเสถียรภาพและ ความน่าเชื่อถือต่อ "สถาบันแบงก์ชาติ"

ที่ "กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม" ออกจดหมายเปิดผนึกถึง "พรรคการเมือง" และ "รัฐมนตรีพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล"

ชี้ให้เห็น "ภัยต่อความเชื่อถือและความมั่นคงประเทศ"

ที่การเมืองส่งคนเข้าไปแทรกแซง "การเงิน" ของประเทศในตำแหน่ง "ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ" ซึ่งควรจะ "ตัดไฟแต่ต้นลม" นั้น

เป็นข้อห่วงใยที่ "พรรคการเมือง" และรัฐมนตรีของทุกพรรครัฐบาล ควรรับฟัง และตระหนัก

เพราะเขาเป็นห่วงถึงผลกระทบต่อ "ความเป็นอิสระ" ของแบงก์ชาติหรอก มิใช่เพื่อประโยชน์ตัวเขาเอง

เพราะความเป็นอิสระของแบงก์ชาติมันจำเป็นต่อการทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจของชาติ "ในระยะยาว"

การทำหน้าที่ของคนแบงก์ชาติ มันอาจขัดแย้งต่อเป้าประสงค์ของ "กลุ่มการเมือง" ที่หวังผลงานทางเศรษฐกิจ "ในระยะสั้น"

ขืนปล่อยไปเช่นนั้น จะส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายในระยะยาวที่ยากจะกอบกู้คืนได้

".....ความน่าเชื่อถือของธนาคารแห่งประเทศไทยในสายตาของสากลโลกจะตกต่ำลง

กระทบความน่าเชื่อมั่นในนโยบายอัตราดอกเบี้ย  อัตราการแลกเปลี่ยน และค่าเงินบาท

ในที่สุด จะส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวลดต่ำลง ประชาชนจะเกิดความยากลำบากจากสภาวะเงินเฟ้อ ข้าวของราคาแพงขึ้นอย่างรุนแรง"

"กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม" เขาระบุตรงไป-ตรงมาว่า

ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจาก "คณะกรรมการคัดเลือก" ให้เป็น "ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ" คือนายกิตติรัตน์ นั่นแหละ

เคยมีตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงในพรรคเพื่อไทย  เคยเป็นรองประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย (ที่ปรากฏหนังสือลาออกพ้นหนึ่งปีเพียงไม่กี่วัน)

เคยเป็นประธานที่ปรึกษาอดีตนายกฯ เศรษฐา ที่จำต้องพ้นจากตำแหน่งเพียงสองเดือนเศษ

แม้อ้าง ไม่ใช่เป็นตำแหน่งข้าราชการการเมือง แต่ก็เป็นการ "ดำรงตำแหน่งทางการเมือง"

น่าจะขัด "คุณสมบัติ" ตามกฎหมาย ที่ระบุต้องพ้นจากการ "ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" อย่างน้อย ๑ ปี

ซึ่งเป็นเจตนาป้องกันมิให้ "ธนาคารแห่งประเทศไทย" ถูกแทรกแซงครอบงำจากกลุ่มการเมือง

ทั้งเมื่อพิจารณาถึงวิสัยทัศน์และพฤติกรรมทางการเมืองในอดีต เมื่อครั้งนายกิตติรัตน์เป็น รมว.คลัง

ได้แสดงออกว่า "เป็นผู้ที่ชอบกดดันแสดงอำนาจ"

อยากจะปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหลายต่อหลายครั้ง สะท้อนเจตคติว่า "ไม่ให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย"

ที่สำคัญในอีก ๗ เดือนข้างหน้า....

จะมีการคัดเลือก "ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย" คนต่อไป

ตำแหน่งนี้ เป็นตำแหน่งสำคัญและต้องเป็นอิสระอย่างยิ่ง การ "คัดเลือกประธาน" และ "กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ" ครั้งนี้ จึงมีความสำคัญต่อการสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนในการคัดเลือก "ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย" ด้วย

ครับ...

ผมไม่เคยเห็น "ผู้หลัก-ผู้ใหญ่" ระดับอดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ พร้อมกันถึง ๔ ท่าน

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล, นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล, นายวิรไท สันติประภพ และนางธาริษา วัฒนเกส

นักวิชาการ คณาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ และสาขาอื่น อีกจำนวนมาก กล้า "ออกหน้า-ประกาศนาม" เช่นนี้มาก่อน

เพื่อเศรษฐกิจและอนาคตสังคมชาติ ท่านเหล่านั้น กล้าทำ ในสิ่งที่น้อยคนจะกล้ากับอำนาจอธรรม

ด้วยมองเห็นภัย "การเมือง" ที่กำลังคืบคลานเข้าครอบงำ "ระบบการเงิน" ท่านเหล่านั้น จึงออกมาแสดงความวิตก-ห่วงใย ออกจดหมายเปิดผนึกวิงวอนอีกครั้ง ว่า....

"ในฐานะที่ท่านเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เป็นรัฐมนตรีในนามของพรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาล

ถือเป็นตัวแทนของประชาชนในการเข้าบริหารราชการแผ่นดิน และต้องร่วมรับผิดชอบในมติของคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้

กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคมและภาคส่วนต่างๆ.....

ขอเรียกร้องให้ท่านพิจารณาด้วยความรอบคอบ เพื่อดำรงไว้ซึ่งสถาบันที่สำคัญของประเทศคือธนาคารแห่งประเทศไทย

ให้สามารถดำเนินงานได้อย่างเป็นอิสระ ไม่ถูกแทรกแซงครอบงำจากกลุ่มการเมือง

ทั้งนี้เพื่อรักษาให้ประเทศไทยมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจตลอดไป"

"ปฏิทินโลก" เราเปิดดูได้เองทั้งปี

แต่ "ปฏิทินชีวิต" เราเปิดเองไม่ได้ ต้องให้กาลเวลาเปิดให้เราดูได้ทีละวัน

ฉะนั้น กระหยิ่ม-ลำพอง "วันนี้" ของ ๑๘ ปี ไว้ให้หนำใจ

เพราะ "พรุ่งนี้" ไม่แน่...ปีที่ ๑๙ จะมีหรือไม่ และถ้ามี จะอยู่ในสภาพและฐานะไหน?

"นายกฯ อิ๊ง" บอกพ่อได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้!?

-เปลว สีเงิน

๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

 

วันเสาร์ที่ปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มนุษย์ 'พันธุ์หน้าเหลี่ยม'

ต้องขอบคุณ "ทรัมป์" เขานะ นโยบายตั้งกำแพงภาษีนำเข้า โดยเฉพาะจากจีนจะสูงถึง ๖๐% และการลดภาษีนิติบุคคล จาก ๓๕% เหลือ ๒๑% และจะลดลงเหลือ ๑๕% ในปีต่อไป

'พ่ออวดจน-ลูกอวดรวย'

เอาละเว้ย...เฮ้ย จงระวัง! "ไอ้เสือ" มันออกล่า "คนตาบอด" เพื่อขย้ำเป็นเหยื่ออีกรอบแล้ว

สาวะถี "เทวดาเหนือคุก"

ชั่วโมงนี้.... คนอยากเห็นหน้า "คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง" ว่าที่ "ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ" คนใหม่ มีไม่เท่าไหร่

๑๗ ปี 'นาทีทอง' มาถึง

๑๑ พฤศจิกา.เรียกให้เท่แบบฝรั่งว่า 11.11 ลืมกันหรือเปล่าว่า "วันนี้เรามีนัดกัน?" ความจริงก็ไม่ใช่ "เรา"