ไทยในสายตาต่างชาติ (ตอนที่ 47: พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน 2476 คือ การทำรัฐประหารเงียบหรือ ?)

 

ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้สรุปเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เป็นเงื่อนไขที่นำมาสู่การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476  อันเป็นพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปรับคณะรัฐมนตรีและชะลอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราชั่วคราว ซึ่งรายงานจากสถานทูตฝรั่งเศสเห็นว่าเป็นการทำรัฐประหาร ในขณะที่รายงานสถานทูตอังกฤษรายงานว่าเป็นการยุบสภาฯและเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้ยกข้อความในรายงานสถานทูตที่เป็นภาษาอังกฤษต้นฉบับ ซึ่งจากรายงานดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า ทางสถานทูตอังกฤษเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของพระราชกฤษฎีกาฉบับวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ว่าเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศภาวะฉุกเฉินของฝ่ายบริหาร โดยในรายงานสถานทูตใช้คำว่า  emergency decrees   ซึ่งข้อความในตัวพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเองก็มีคำว่า “ฉุกเฉิน” อยู่ด้วย (ดูภาพประกอบ)  และจากรายงานสถานทูตอังกฤษ อัครราชทูตอังกฤษนายซีซิล ดอร์เมอร์ยังแสดงความเห็นด้วยต่อการประกาศภาวะฉุกเฉินโดยการยุบสภาผู้แทนราษฎร การปรับคณะรัฐมนตรี รวมทั้งการตราพระราชบัญญัติต่อต้านคอมมิวนิสต์

การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ปิดประชุมสภา ปรับคณะรัฐมนตรี และชะลอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเป็นการชั่วคราว และการตราพระราชบัญญัติต่อต้านคอมมิวนิสต์ จึงไม่ใช่การทำรัฐประหารในสายตาของอัครราชทูตอังกฤษ เพราะเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศภาวะฉุกเฉิน ผู้เขียนเห็นว่า ความเห็นของอัครราชทูตอังกฤษต่อพระราชกฤษฎีกาฯ เป็นสิ่งที่ควรนำมาพิจารณา เพราะอังกฤษ เป็นประเทศต้นแบบการปกครองแบบรัฐสภาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข     

ผู้เขียนได้กล่าวถึงความเห็นของนักวิชาการต่างประเทศต่อกรณีการประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ไปบ้างแล้ว เช่น ความเห็นของ เดวิด เค. วัยอาจ จากงาน Thailand A Short History, 1st edition 1982,  2nd edition, (Bangkok: Silkworm: 2003), กอบเกื้อ สุวรรณทัต-เพียน (Kobkua Suwannathat-Pian) ในงานที่ชื่อว่า Thailand’s Durable Premier: Phibun through Three Decades 1932-1957, (Oxford: Oxford University Press: 1995), Judith A. Stowe ในงานที่ชื่อว่า  Siam becomes Thailand: A Story of Intrigue, (Honolulu: University of Hawaii Press: 1991) และ B.J. Terweil, Thailand’s Political History: From the 13th century to recent times, (Bangkok: River Books: 2005)   ส่วนงานเขียนในภาษาไทยที่กล่าวถึงการประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476  ผู้เขียนได้กล่าวถึงหนังสือ  พระปกเกล้าฯ กับชาติไทย ของ เปรมจิตร วัชรางกูร (พ.ศ. 2489)   และ  ยี่สิบเจ็ดรัฐบาลใน 26 ปี ของ ดำริห์ ปัทมะศิริ (พ.ศ. 2505) ซึ่งยังเล่าค้างไว้       

ในตอนนี้ จะขอกล่าวถึงความเห็นของดำริห์ต่อจากคราวที่แล้ว ดำริห์มีความเห็นต่อการประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ว่า

“ในบรรดาผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 นั้น ควรนับได้ว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นคนสำคัญที่สุด เพราะเป็นคนที่ศึกษาและสนใจในวิชาการเมืองและเศรษฐกิจโดยเฉพาะ เป็นผู้ที่ได้ตั้งต้นชักชวนบรรดานักศึกษาที่ออกไปศึกษารยังยุโรป และกลับมาดำเนินการตระเตรียมในเมืองไทยโดยไม่หยุดยั้ง ทั้งเมื่อฝ่ายทหารได้ใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจเรียบร้อยแล้ว หลวงประดิษฐ์ฯ ก็มีร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้ออกประกาศใช้ได้ทันที แม้ ‘ประกาศคณะราษฎร’ ในวันปฏิวัติ (24 มิถุนายน) ก็ปรากฏขึ้นโดยการจัดทำของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม การดำเนินกิจสำคัญๆ ต่อมา เช่นร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรก็เช่นเดียวกัน ดังนั้น หลวงประดิษฐ์ฯ จึงได้รับนับถือทั่วไปทั้งในหมู่ผู้ก่อการและมีชื่อเสียงเด่นอยู่ในความนิยมของประชาชนที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองให้เป็นประชาธิปไตยตามข้ออ้างที่เปิดเผยของคณะราษฎร ทั้งนโยบายเศรษฐกิจก็ว่าจะเป็นไปในทางช่วยคนยากจนให้ได้รับความสุข ให้คนมีงานทำตามประกาศของคณะราษฎร และระแคะระคายออกมาให้รู้กันแพร่หลายว่า หลวงประดิษฐ์ฯ เป็นต้นคิดวางนโยบายหรือโครงการเศรษฐกิจดั่งกล่าวนั้น ส่วนคอมมิวนิสต์จะเป็นภัยต่อบ้านเมืองอย่างไรหามีผู้ใดล่วงรู้ไม่ ตรงข้าม บางคนกลับเข้าใจไปว่า คอมมิวนิสต์เป็นศาสนาพระศรีอารย์หรืออะไรทำนองนั้น ที่จะบันดาลความเท่าเทียมากันในหมู่มนุษย์ให้มีความสุขความสะดวกเหมือนๆ กัน

ฉะนั้น การปิดสภา การงดให้รัฐธรรมนูญ (บางมาตรา) และการ ‘เนรเทศ’ หลวงประดิษฐ์ฯ จึงเป็นการกระทบกระเทือนจิตใจประชาชนให้รู้สึกว่าเป็นการผิดหวังอย่างใหญ่หลวง คำอ้างของรัฐบาลพระยามโนฯ ที่ว่าการปฏิบัติของสภาเป็น ‘ภาวะอันแสนสุดจะทนทานได้’ หรือที่ว่า หลวงประดิษฐ์ฯ มีความโอนเอียงเป็นคอมมิวนิสต์ และการปฏิบัติของรัฐบาลที่ต้องปิดสภา งดให้รัฐธรรมนูญ ตลอดถึงการเนรเทศหลวงประดิษฐ์ฯ และเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีว่าเป็นการกระทำเพื่อความปลอดภัยของชาติ โดยที่ ‘ความปลอดภัยของชาติเป็นกฎหมายสูงสุด’  นั้น ไม่เป็นที่เชื่อถือของประชาชนอย่างใดเลย ประชาชนกลับเห็นว่า การกระทำของรัฐบาลพระยามโนฯ ครั้งนั้นเป็นก้าวแรกของการจะกลับคืนสู่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ อันเป็นเหตุไม่พอใจโดยทั่วไป เป็นที่เสื่อมเสียต่อองค์พระมหากษัตริย์ เป็นที่สะดุ้งสะเทือนต่อผู้แสดงการสนับสนุนคณะราษฎร และสะดุ้งต่อคณะราษฎรเอง โดยแม้ว่าในคณะรัฐบาลพระยามโนฯ ยังมีผู้ก่อการชั้นผู้ใหญ่ เช่น พระยาพหลฯ   พระยาทรงสุรเดชร่วมอยู่ด้วยก็ตาม ฝ่ายรัฐบาลพระยามโนฯ จะนำเอารายละเอียดข้อเท็จจริงออกแสดง หรือจะแถลงเหตุผลโดยละเอียดก็นับเป็นการผิดมรรยาท จึงกลายเป็นผู้ทำลายตนเองด้วยความจำเป็น ในทางตรงกันข้าม ถ้ารัฐบาลพระยามโนฯ ไม่เป็นห้ามล้อไว้ในครั้งนั้นด้วยการปิดสภาฯ แต่ไพล่จัดวางโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม  แล้วปฏิบัติต่อๆมา ประวัติศาสตร์ชาติไทยคงเปลี่ยนไปอย่างยากจะคาดถึงได้อยู่

เมื่อพฤติการณ์ของรัฐบาลพระยามโนฯ ชวนให้เห็นเป็นไปในทางละเมิดต่อระบอบประชาธิปไตยเช่นนี้ จึงมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นโดยทั่วไป สำแดงให้เห็นจากหนังสือพิมพ์ส่วนมาก แม้จะมีประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ซึ่งการมิได้บ่งมาตราย่อมมีผลเสมือนได้งดใช้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ประชาชนไม่มีเสรีภาพ ไม่มีสิทธิทางการเมือง เช่นเดียวกับในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ตาม แต่เมื่อการงดใช้รัฐธรรมนูญไม่อยู่ในอำนาจที่รัฐบาลจะทำได้ และเป็นการฝืนจิตใจประชาชนพลเมืองอย่างร้ายแรง ก็ย่อมมีการต่อต้านคัดค้านเป็นธรรมดา ทั้งรัฐบาลพระยามโนฯ ก็ไม่มีการปฏิบัติอันใดเป็นที่น่าชื่นชมมากลบเกลื่อนความไม่พอใจนั้น เสถียรภาพของรัฐบาลพระยามโนฯ จึงทรุดลงโดยรวดเร็ว อนึ่ง ถ้าจะถือว่าการปิดประชุมสภาครั้งนั้นเป็นการยุบสภา ซึ่งอยู่ในวิสัยของรัฐบาลที่จะยุบสภาได้ แต่บังเอิญใช้คำว่า ‘ยุบ’ ผิดไปเป็นว่า ‘ปิด’ ก็ตาม รัฐบาลพระยามโนฯ ก็จะต้องประกาศเลือกตั้งผู้แทนราษฎรภายในกำหนด 90 วัน ตามรัฐธรรมนูญ  แต่การณ์ก็มิได้เป็นเช่นนั้น รัฐบาลพระยามโนฯ อุบนิ่งเฉยอยู่เหมือนกับกระทำชอบแล้วทุกทาง หรือมีอำนาจกระทำได้ทุกทาง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด หรือมิฉะนั้นปฏิบัติการของรัฐบาลพระยามโนฯ เพื่อแก้ไขเหตุนี้ ก็นับเป็นการล่าช้าเกินไป

ฉะนั้น ภายหลังที่พระยาพหล ฯ พระยาทรง ฯ พระยาฤทธิ์ ฯ และพระประศาสน์ ฯ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ได้ลาออกจากราชการทหาร (ซึ่งแท้จริงก็เป็นการเปิดทางให้มีการปฏิบัติทางทหารต่อรัฐบาลพระยามโนฯ) ในราวกลางเดือนมิถุนายน 2476  ต่อมาในวันที่ 20 เดือนเดียวกัน หลวงพิบูลสงคราม นายทหารผู้ร่วมมือก่อการด้วยผู้หนึ่งเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 ก็ได้นำทหารเข้ายึดอำนาจรัฐบาลพระยามโนฯ พร้อมกันนั้นได้มีสมาชิกสภา (ประเภทที่ 2) เข้าชื่อกันกราบถวายบังคมทูลขอเปิดการประชุมตามรัฐธรรมนูญ รัฐบาลพระยามโนฯ จึงเป็นอันสิ้นสุดลงในวาระนั้น โดยมีประการพระบรมราชโองการเปิดประชุมวิสามัญในวันที่ 21 มิถุนายน 2476”                                 

----

จากที่กล่าวไปข้างต้น ถึงแม้ว่าดำริห์จะไม่กล่าวว่า การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 จะเป็นการทำรัฐประหาร (เงียบ) แต่ในความเห็นของเขา พฤติการณ์ของรัฐบาลพระยามโนฯ ชวนให้เห็นเป็นไปในทางละเมิดต่อระบอบประชาธิปไตย  การ ประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ซึ่งการมิได้บ่งมาตราย่อมมีผลเสมือนได้งดใช้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ประชาชนไม่มีเสรีภาพ ไม่มีสิทธิทางการเมือง เช่นเดียวกับในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ทักษิณ' ยันพรรครัฐบาลไม่แตะ 112 เผยเคยเตือนสติ 'ธนาธร' มาแล้ว!

"ทักษิณ" เผยพรรคร่วมรัฐบาล ลงสัตยาบันไม่แตะ มาตรา 112 โอดตัวเองตกเป็นเหยื่อเพราะถูกหมั่นไส้  เคยคุย "ธนาธร" ขอให้ช่วยกันทำเพื่อบ้านเมือง หากจะแก้กฎหมายควรทำทีละขั้นตอน อย่าไปมุ่งหาเสียง บางทีจุดโฆษณาอันตรายกว่าสิ่งที่ตั้งใจทำ

ดร.อาทิตย์ หวั่นอำนาจการเมืองอยู่เหนือคำพิพากษาศาล ทำบ้านเมืองล่มสลาย!

ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยรังสิต อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กว่าระบบการเมืองปัจจุบันทำลายนิติรัฐ

อดีตบิ๊กศรภ. ชี้วันเวลาจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลง 'ระบอบทักษิณ' ได้เลย

พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า ระบอบทักษิณไม่เคยท้อ

สส.รังสิมันต์ แจงเหตุกมธ.มั่นคงฯ เชิญ 'ทักษิณ' แจงปมนักโทษเทวดาชั้น 14

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึง