รัฐบาลนี้ 'แค่สารตั้งต้น'

"เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ" เหมือนเลือกตั้ง "ประธานาธิบดีโลก"!

ก็ดูซี.....

ทุกอย่าง "ทั้งโลก" ไม่ว่าเศรษฐกิจ การเงิน การเทรด การลงทุน การค้า การสงคราม ทั้งหลาย-ทั้งปวง

"รอ" อย่างเดียว

รอผลเลือกตั้ง วันนี้ (๖ พ.ย. ๖๗ ตามเวลาไทย) ว่า "ทรัมป์" หรือ "แฮร์ริส" คนไหนจะมา?

ทั้งทรัมป์ทั้งแฮร์ริส ผมว่าลึกๆ แล้ว ไม่ถึงใจอเมริกันชนทั้งคู่ แต่เมื่อต้องจำใจเลือก

"ทรัมป์" จะเป็นตัวจำใจมากกว่า!

พอดีหลายวันก่อน เพื่อนเลิฟ "คุณดำรง พุฒตาล" ส่งแมสเสจมาว่า

"ผมขอฝากข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผลน่าฟังจากคนไทยที่เป็นเพื่อนผมและอยู่ที่อเมริกามา 50 กว่าปี มาให้คุณเปลวด้วยครับ"

และต่อจากนี้ คือ เหตุ-ผล "ของเพื่อนคุณดำรง" ต่อการเลือก "ประธานาธิบดีสหรัฐฯ" ที่คุณดำรงส่งมาให้ผมอ่าน

---------------------------

"เพื่อนดำรง" ถามมาว่า "ทำไมผมไม่เลือกทรัมป์?"

ผมขอตอบอย่างเป็นกลางและจากความรู้สึกล้วนๆ

ก่อนอื่นผมอยากจะอธิบายถึงความรู้สึกของผมเกี่ยวกับคำสองคำ คือ Republican

พรรคนี้เป็นพรรค Conservative หรือที่คนไทย แปลว่า อนุรักษนิยม

คำว่า "อนุรักษนิยม" ลึกๆ แล้วคือ "การพยายามรักษาและทำตามความคิดเดิมๆ" รวมทั้งเหยียดผิว (racism)

คิดว่า "คนผิวขาว" มีสายพันธุ์ที่ดีกว่า ฉลาดกว่ามนุษย์สายพันธุ์อื่น

"คนรุ่นเก่า" จะไม่ชอบ "คนต่างด้าว"

อย่าว่าแต่ "คนต่างด้าว" เลย แม้แต่ "คนดำ" พวกเขาก็ยังเคยเห็นแต่ในทีวี เพราะมีนักฟุตบอลเยอะ

และ (คนผิวขาวบ้านนอก) ไม่เคยไปไหน ไม่ได้ออกจากบ้านเกิด ซึ่งมักจะไกลปืนเที่ยง

มาเที่ยวเมืองหลวงเช่น "วอชิงตัน ดีซี" เห็นคนผิวดำผูกไท-ใส่สูท ไปทำงาน มีตำแหน่งใหญ่ๆ โตๆ รู้สึกแปลกใจ ไม่น้อย

บ้านช่องราคาก็ต่างกันเป็นสิบเท่า แม้จะมีคุณภาพบ้านพอๆ กัน

อย่าลืมว่า อเมริกามีเนื้อที่กว้างใหญ่มาก นอกๆ เมืองคนที่มีการศึกษาสูงๆ และเคยเห็นโลกมามาก "มีไม่มาก" จบแค่โรงเรียนมัธยม

บางคนคิดว่า ที่ตัวเองอยู่นั้น "ดีที่สุดในโลก" แล้ว          เพราะ "ไม่เคยออกไปไหน" .....

ดีไม่ดี ยังคิดว่า "อเมริกาเป็นศูนย์กลางของโลก" ด้วยซ้ำ!

พวกนี้ จึงถูกหลอกได้ง่าย

ฟังแต่ Fox News อะไรที่แตกต่างจาก Fox News ถือว่าเป็นข่าวปลอม

ทรัมป์จึงหาเสียงโดยการเน้น "คนบ้านนอก" เป็นหลัก คนไทยที่มักจะเลือกทรัมป์ ก็มักจะมีครอบครัวอยู่บ้านนอก                "เลือกตามเพื่อนบ้าน" มักจะไม่ได้ติดตามข่าว

"คนต่างด้าว" ที่มีการศึกษา มักมีแนวโน้มที่จะ "ไม่เลือก Republican" โดยเฉพาะทรัมป์ ซึ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้

พูดโกหกรายวัน (มี Fact check) ไม่สนใจใครจะว่าอะไร

ทรัมป์เก่ง....

ตรงที่เขาบอกความรู้สึกของพวก Republican ตรงไป-ตรงมา ไม่เกรงใจใคร ถูกใจลูกทุ่ง!

ส่วนนักการเมืองอื่นๆ ในพรรครีพับลิกัน "ไม่กล้าแสดงตัวตน" อย่างแท้จริง

เพราะฉะนั้น จะไม่ออกมาคัดค้าน หรือโต้แย้ง เมื่อทรัมป์พูดอะไรที่ฟังไม่เข้าหูคนปกติทั่วไป

ซึ่งหลายครั้งน่าเกลียดมาก!

ผมไม่เอาป้ายหาเสียงของผู้สมัครพรรคใดๆ มาปักหน้าบ้าน แถวบ้านจะมีป้ายน้อยมาก เพราะไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน

เราไม่คุยเรื่องการเมืองกัน มีเพื่อนที่เป็นขาทรัมป์หลายคนเหมือนกัน ไม่พูด "เรื่องยิว-มุสลิม" ทั้งๆ ที่สงสารมุสลิมที่ถูกยิวฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาก

ผมมีเพื่อนที่เป็นยิวมาก และเขาก็ดีกับเรามากด้วย

เพื่อนที่เป็นมุสลิมก็มาก โดยเฉพาะอิหร่าน คนอิหร่านนี่น่าคบ มีวัฒนธรรมที่สูง

เพราะฉะนั้น ผมจึงถือว่า “Business as usual”

เกือบลืมคำว่า "Democrat-ประชาธิปไตย" ถือว่าเป็นพวก "Liberal-เสรีนิยม"

"ต่างด้าว" หรือ "อเมริกันใหม่" มักจะอยู่ในพรรคนี้ แม้จะไม่ได้ลงทะเบียนในพรรค แต่ก็มักจะมีแนวคิดนี้มาก

อีกอย่าง ที่อดจะพูดถึงคำ "ประชาธิปไตย" ในความหมายของรัฐบาลอเมริกันไม่ได้

สั้นๆ คือ....

การตีความของคำนี้ "ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์" ล้วนๆ!

 การกระทำอย่างเดียวกัน ที่กระทำโดย "อียิปต์" หรือ "ชาติอื่น" จะต่างความหมายกัน เมื่อการกระทำนั้น

ทำโดย "อิสราเอล" เป็นต้น

แปลว่าจะ "ถูกหรือผิด" ขึ้นอยู่กับ "ผลประโยชน์"

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "ความหมายตายตัว" ที่กำหนด เช่นเดียวกับ "องค์กรระหว่างชาติ"

ระดับผม ติดตามข่าวและ “Business as usual” ครับ

...........................

ตามเหตุผลของ "เพื่อนคุณดำรง" สะท้อน "สันดานอเมริกัน" ตรงเป๊ะตามที่ผมเคยสัมผัสอยู่บ้าง ๒ ประเด็น

ประเด็นแรก ฝรั่งบ้านนอก "จำนวนมาก" ไม่เคยออกไปนอกกะลาครอบ พวกนี้ จะทึกทักว่า "สหรัฐฯ คือศูนย์กลางโลก"

โง่แล้วหยิ่ง อีโก้ หลงตัว เป็นแบบไหน ดู "ฝรั่งผิวขาวบ้านนอก" เป็นตัวอย่างได้     

ขนาด "หมูเด้ง" ดังระดับโลก เรียกว่าดังกว่านายกฯไทยล้านเท่า แต่ฝรั่งบ้านนอก ยังบอกไม่รู้จักทั้งสัตว์-ทั้งคน!?

ประเด็นที่สอง "ประชาธิปไตย" ของรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นฝ่าย "Conservative-อนุรักษนิยม" หรือฝ่าย "Liberal-เสรีนิยม"

คิดและปฏิบัติ "ตรงกัน" เป๊ะ

คือ ขึ้นอยู่กับ "ผลประโยชน์" ล้วนๆ!

ไม่ต้องดูอื่นไกล ที่ไทยเรานี่แหละ สมัย "จอมพลสฤษดิ์-จอมพลถนอม" ยอมให้สหรัฐฯ ใช้ไทยเป็นฐานทัพทำสงครามเวียดนาม

ก็สหรัฐฯ นั่นแหละ พยักหน้าให้ "สฤษดิ์-ถนอม" ทำ

ไทย ปกครองโดย "รัฐบาลเผด็จการทหาร" ยาวนานเป็นสิบๆ ปี จีไอ ยั้วเยี้ยเต็มประเทศ

สหรัฐฯ บอก ไทยเป็นประชาธิปไตย บริหารโดย "รัฐบาลประชาธิปไตย"

แต่ปี ๒๕๕๗ ทหาร-โดยพลเอกประยุทธ์ เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ไอ้กันประกาศ ไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ควบคุมโดยรัฐบาล "เผด็จการทหาร"!

เพราะการเข้าควบคุมอำนาจของพลเอกประยุทธ์ ทำให้สหรัฐฯ "เสียผลประโยชน์" ที่ลงตัวกับ "รัฐบาลก่อน" อย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่ง......

"รัฐบาลทหาร" ไม่ยอมให้สหรัฐฯ เข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการปฏิบัติการกับจีน

เมื่อสหรัฐฯ เสียทั้งประโยชน์ที่เคยได้จากรัฐบาลก่อนและทั้งรัฐบาลใหม่ไม่ยอมเอื้อประโยชน์ให้สหรัฐฯ ตามต้องการ

ในความเป็น "รัฐบาลเผด็จการทหาร" เหมือนๆ กัน

แต่สหรัฐฯ บอก "รัฐบาลเผด็จการ สฤษดิ์-ถนอม" เป็น "ประชาธิปไตย" (เพราะกูได้รับผลประโยชน์เต็มๆ)

ส่วนรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เป็น "รัฐบาลเผด็จการทหาร" (เพราะกูขาดผลประโยชน์และทั้งมึงขัด)!

นี้คือ "DNA สหรัฐฯ" ที่แปลว่า "สันดานอเมริกัน" ตรงตามทัศนะ "เพื่อนคุณดำรง"

ฉะนั้น ไม่ว่าทรัมป์หรือแฮร์ริสขึ้นเป็น "ประธานาธิบดีสหรัฐฯ" วันนี้ "หลักย่อย" อาจเปลี่ยน

แต่คำว่าประชาธิปไตย "หลักใหญ่" ตายตัว ไม่เปลี่ยน   ขึ้นอยู่กับ "ผลประโยชน์" ที่สหรัฐฯ จะได้เป็นหลัก!

คุยเรื่อง MOU 44 ซักหน่อยเป็นไร เอาแบบสั้นๆ เนื้อๆ ตรงประเด็นตามทัศนะผมเลยนะ

ตัว "เกาะกูด" ไม่ต้องพูดถึง เป็นของไทย "ไร้ข้อโต้แย้ง" อยู่แล้ว

ที่มีปัญหา คือพื้นที่ไหล่ทวีปในอ่าวไทย ที่ "ทั้งไทย-ทั้งเขมร" เมื่อต่างลากเส้นออกไป ๒๐๐ ไมล์ทะเลแล้ว

ต่าง "อ้างสิทธิทับซ้อน" ในพื้นที่เดียวกัน

แล้วทำไงล่ะ เมื่อต่างฝ่าย-ต่างอ้างสิทธิ ไม่ยอมกัน

เมื่อยังตกลงกันไม่ได้....

ก็ทำ MOU 44 เพื่อรับรู้ "ในพื้นที่ที่ต่างอ้างสิทธิ" ไว้ก่อน

เปรียบให้เข้าใจง่ายๆ เหมือน "ที่ดินรกร้างว่างเปล่า" ทั้งไทย-ทั้งเขมร ต่างขีดเส้นกำหนดเขต-อ้างสิทธิกันเอาเอง

โดยไม่สน "กฎหมายทางราชการ"

ฝ่ายหนึ่งบอก...ของกูถึงตรงโน้น อีกฝ่ายก็บอก...เฮ้ย มันกินเข้ามาในที่ของเรา

ต่างฝ่าย-ต่างไม่ยอม ทั้งที่ "บุกรุกที่หลวง" ด้วยกันทั้งคู่

แล้วจะทำยังไง ในเมื่อต่าง "อ้างสิทธิทางทะเล" ซ้อนกัน?

MOU ก็เป็นข้อ "รับรู้ร่วม" ในพื้นที่ทึกทักของตน  ไม่ใช่ "ข้อตกลง" เรื่องดินแดน

มันลักษณะ "พิทักษ์สิทธิ" ในพื้นที่ "ต่างอ้างสิทธิ" ของกันและกันไว้ก่อน แล้วค่อยตั้งคณะเอาข้อกฎหมาย-ข้อสัญญาทางทะเลที่เป็นสากลมาดู เพื่อหาข้อยุติกัน

ตอนนี้ พื้นที่ทางทะเล ๒๖,๐๐๐ ตร.กม.สรุปตรงๆ ว่า เป็นแค่พื้นที่ต่างทึกทักเอา

ทั้งสองฝ่ายจะต้องมานั่งโต๊ะ เอากฎหมายสากล เอาเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีระบุบ่งมากางดูและตกลงกัน   

MOU 44 ก็แค่เนี้ย ไม่ต้องซีเรียส ความสำคัญอยู่ที่ตัวคณะที่จะตั้งไปเจรจามากกว่า

เพราะประเด็นที่ต้องตกลงกัน เป็นกรอบอยู่ใน MOU 44 แล้ว ทุกอย่างกำหนดอยู่ในกรอบ ว่า.......

-ทั้ง "เขตแดน" ทางทะเล เหนือเส้น ๑๑ องศาเหนือ และการ "พัฒนาร่วม" ทางทะเล ใต้เส้น ๑๑ องศาเหนือ

ต้อง "เจรจาควบคู่กันไป" จะ "แยกทำ-แยกตกลง" ไม่ได้

พูดง่ายๆ จะตกลงเฉพาะเรื่องขุดพลังงานขึ้นมาใช้กันก่อนก็ไม่ได้ จะตกลงเฉพาะเรื่องเขตแดนก็ไม่ได้

คณะเจรจาทั้ง ๒ ประเทศ ต้องตกลงทั้ง ๒ เรื่องไปพร้อมกัน นี่... MOU 44 ผูกมัดไว้ นับเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง

อีก ๒ สัปดาห์ นายกฯ จะเคาะชื่อ "คณะกรรมการฝ่ายไทย" ที่จะไปเจรจากับฝ่ายเขมร

"คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" รมว.พลังงาน ที่เชื่อได้ ทั้งโคตรเจ๋งทางกฎหมาย ต้องอยู่ในคณะแน่

และเรื่องนี้ บอกได้อย่างเดียว....

"ไม่ได้จบที่รัฐบาลนี้" ฉะนั้น ไม่ต้องจั๊กจี้กันไปหรอก!

-เปลว สีเงิน

๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

 

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'แบงก์ชาติยันเกาะกูด'

ผมเห็นหัวอก "คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง" ด้วยใจจริง โอกาสเป็น "ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ" ของท่าน

'นพดลย้อน-คำนูณแย้ง'

ฟัง "คุณนพดล ปัทมะ" ผู้มีส่วนร่วมใน MOU 44 ไปแล้ว ประเด็นหลักที่ต้องเน้นให้เข้าใจกันตามที่คุณนพดลให้สัมภาษณ์

MOU 44 'ผูกมัดใครกันแน่?'

"MOU 44" จริงๆ แล้ว มันยังไงกัน "ใครได้-ใครเสีย?"ฟังแต่ละผู้รู้แล้ว ยังมึนซ้าย-มึนขวา เมื่อวาน อ่านบทสัมภาษณ์ "คุณนพดล ปัทมะ" อดีต รมว.ต่างประเทศ ในเว็บไซต์ "แนวหน้า"