ทรัมป์ชี้ว่าแฮร์ริสเป็นพวกสังคมนิยม ส่วนแฮร์ริสชี้ว่าทรัมป์เป็นเผด็จการ สหรัฐกำลังเข้าสู่การเลือกระหว่าง “สังคมนิยม” กับ “ฟาสซิสต์”
ในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2024 ทั้งสองพรรคต่างชี้ว่าอีกฝ่าย “ไม่ใช่พวกประชาธิปไตย” ถ้าจะฟันธงว่าสหรัฐอเมริกาในยามนี้เป็น “สังคมนิยม” หรือ “ฟาสซิสต์” อย่างใดอย่างหนึ่งไม่น่าจะถูกต้อง ที่ถูกต้องกว่าคือคนอเมริกันนับล้านที่ชอบแนวทางสังคมนิยมกับอีกหลายล้านที่ต้องการผู้นำฟาสซิสต์ (เลือกตั้ง 2020 คนอเมริกัน 74 ล้านคนเทคะแนนให้ทรัมป์) นำสู่ข้อสรุปว่าเลือกตั้งสหรัฐ 2024 คือเลือกระหว่าง “สังคมนิยม” กับ “ฟาสซิสต์”
ภาพ: รองประธานาธิบดีแฮร์ริสขณะหาเสียง
เครดิตภาพ: https://www.facebook.com/ABCNews/videos/560906773209223
เลือกแฮร์ริสนำสู่สังคมนิยม:
แต่ไหนแต่ไรพวกรีพับลิกันโจมตีว่าตัวแทนพรรคเดโมแครตเป็นพวกสังคมนิยม ต้องการเปลี่ยนประเทศเป็นสังคมนิยม นโยบายหลายอย่างที่สอดคล้องแนวทางสังคมนิยมเป็นหลักฐานที่เห็นกันอยู่แล้ว พวกนี้จะชอบออกกฎหมายควบคุมเศรษฐกิจสังคม ขยายอำนาจรัฐบาลกลางทุกด้าน รัฐบาลกลางเข้ากำกับควบคุมแม้กระทั่งเศรษฐกิจเอกชน (private economy) เหล่านี้เป็นแนวทางสังคมนิยม
เมื่อรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) เป็นตัวแทนเดโมแครตชิงตำแหน่งประธานาธิบดี พวกรีพับลิกันยิ่งตอกย้ำว่าเธอเป็นสังคมนิยม ทรัมป์โจมตีว่าแฮร์ริส “เป็นคอมมิวนิสต์เต็มตัว” ('full communist') นโยบายของเธอทำไม่ได้จริง แฮร์ริสคิดควบคุมราคาสินค้าจำเป็นตามแนวสังคมนิยมซึ่งเป็นไปไม่ได้ สหภาพโซเวียตกับอีกหลายประเทศได้พิสูจน์แล้วว่าแนวทางนี้ล้มเหลว ทรัมป์ยกเรื่องนี้หลังแฮร์ริสนำเสนอระบบควบคุมราคากลางต่อสินค้าจำพวกอาหาร ของกินของใช้ประจำวัน ทรัมป์ย้ำว่าอันตรายมากหากคนของพรรคเดโมแครตชนะเลือกตั้ง เธอเป็นพวกมาร์กซิสต์ (Marxist) พวกฟาสซิสต์ (fascist)
ฝ่ายรีพับลิกันจะสรุปว่าหากปล่อยให้พรรคนี้บริหารประเทศไปนานๆ ในที่สุดอเมริกาจะกลายเป็นสังคมนิยม พวกรีพับลิกันย้ำหลักฐานหลายทศวรรษที่ผ่านมานับวันรัฐบาลกลางจะควบคุมเศรษฐกิจสังคมมากขึ้น ถอยห่างจากเสรีประชาธิปไตย
สังคมนิยมประชาธิปไตย:
คำว่าลัทธิสังคมนิยมหรือ Socialism มีผู้ใช้และอธิบายหลายความหมายตามแต่ยุคสมัย นักวิชาการส่วนหนึ่งจะยึดถือสังคมนิยมตามแนวคิดของมาร์กซ์กับเฮเกล จากคำปฏิญญาคอมมิวนิสต์หรือคำประกาศคอมมิวนิสต์ (Communist Manifesto) เมื่อปี ค.ศ.1848 (กล่าวถึงหลัก 8 ประการ เช่น การยึดที่ดินเป็นของรัฐ การเก็บภาษีก้าวหน้า ยกเลิกสิทธิมรดก)
อย่างไรก็ตาม ลัทธิสังคมนิยมมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากดั้งเดิม นักสังคมนิยมปัจจุบันจะใช้นิยามอื่นที่มีความแตกต่างหลากหลาย
ในศตวรรษที่ 19 ลัทธิสังคมนิยมเป็นที่ชื่นชอบในฝรั่งเศส เยอรมนีและอังกฤษ แต่หลังผ่านไปหลายสิบปีไม่มีทีท่าว่าสถานการณ์จะเข้าเงื่อนไขปฏิวัติสังคม เริ่มสงสัยว่าทุนนิยมจะก้าวสู่สังคมนิยมตามที่มาร์กซ์กล่าวไว้หรือไม่
เอดูอาร์ด แบร์นชไตน์ (Eduard Bernstein, 1850-1932) ชี้ว่าสังคมอุตสาหกรรมเอื้อให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แม้ว่าด้านที่แย่ยังคงอยู่ ความเหลื่อมล้ำมีจริงแต่ไม่ถึงกับทนไม่ได้ ความมั่งคั่งกระจายตัวมากขึ้น ชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น แบร์นชไตน์เห็นว่าควรตีความแนวคิดมาร์กซิสต์ใหม่ เห็นว่าในชุมชนสังคมนิยมต้องมีประชาธิปไตยร่วมด้วย ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล “เผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ” (dictatorship of the proletariat) ของสังคมนิยม ให้การเปลี่ยนผ่านจากทุนนิยมสู่สังคมนิยมเป็นไปโดยสันติ ผ่านกระบวนการปฏิรูปรัฐสภา พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยจะได้เข้าไปบริหารประเทศด้วยวิถีประชาธิปไตย
เลือกทรัมป์ได้ผู้นำฟาสซิสต์:
ตุลาคม 2024 Robert Jones จาก Public Religion Research Institute ชี้ว่า แนวทางที่ใช้ วิธีที่ทรัมป์พูดเลียนแบบนาซี สอดคล้องกับ White Supremacy มีทัศนคติดูถูกเหยียดหยามคนสีผิวอื่น อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยพูดว่าอยากได้นายพลเหมือนที่ฮิตเลอร์มี เพราะเชื่อฟัง รับคำสั่งโดยไม่โต้แย้ง ไม่สนใจว่าคำสั่งชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่เรื่องนี้ผิดเพราะนายทหารสหรัฐต้องยึดถือรัฐธรรมนูญเป็นหลัก ไม่แปลกที่รองประธานาธิบดีแฮร์ริสกล่าวว่าทรัมป์คือฟาสซิสต์ (‘fascist’) ตามอย่างฮิตเลอร์ เขาอยากบริหารประเทศตามใจชอบ ใช้อำนาจโดยปราศจากการตรวจสอบ ไม่อยากให้ใครถ่วงดุลอำนาจ
แต่ทรัมป์แย้งว่า “ผมไม่ใช่นาซีและผมต่อต้านนาซี”
ทรัมป์ไม่น่าจะเป็นพวกนาซีหรืออยากเป็นฮิตเลอร์ แต่ความไม่เป็นประชาธิปไตย นิยมชมชอบผู้นำอย่างปูติน, คิม จองอึน เป็นที่รับรู้กันทั่วไป ที่น่าตกใจกว่าคือ คนอเมริกันหลายล้านที่ไม่เห็นด้วยกับความเสมอภาคเท่าเทียม คิดว่าพวกตนมีอภิสิทธิ์ เช่น กลุ่ม White Supremacy กับ Proud Boys
White Supremacy:
คนผิวขาวมักเลือกรีพับลิกัน หลายคนนิยม White Supremacy พวกนี้เทคะแนนให้พรรครีพับลิกัน สนับสนุนทรัมป์อย่างเหนียวแน่น แม้ทรัมป์ทำผิดกฎหมายหลายเรื่องที่คดีความจบแล้ว มีพฤติกรรมสร้างความเสื่อมเสียแก่ประเทศ ละเมิดสิทธิมนุษยชน
White Supremacy เป็นเรื่องที่คนผิวขาวบางกลุ่มเห็นว่าตนเป็นผู้ปกครองประเทศอันชอบธรรม มีอภิสิทธิ์เหนือชนกลุ่มน้อยชนเชื้อสายอื่นๆ เป็นความชอบธรรมที่คนผิวขาวใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ส่วนคนผิวสีต้องเป็นผู้รับใช้คนผิวขาว การเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐที่กำลังพูดถึงไม่ใช่กรณีทัศนคติส่วนบุคคล แต่เป็นค่านิยมสังคม ยึดถือในคนกลุ่มก้อนใหญ่ คนเหล่านี้ต่อต้านความเสมอภาคเท่าเทียม แม้คนผิวสีชนกลุ่มน้อยเป็นพลเมืองอเมริกันตามกฎหมาย
พวก Boogaloo Bois (Proud Boys) คือกลุ่มขวาจัดที่ถูกตีตราว่าเป็น “fascists หรือ neo-fascists” พวกนี้มักเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติ นิยมความรุนแรง หลายคนมีอาวุธสงครามและแสดงท่าทีจะใช้ กลุ่มนี้สนับสนุนทรัมป์อย่างแข็งขัน พร้อมสนับสนุนด้วยกำลังอาวุธ
ในช่วงหาเสียง การชี้ว่าอีกฝ่ายแย่ไม่น่าเลือกเป็นแนวทางรณรงค์เลือกตั้งเชิงลบ (Negative Campaign) พยายามสร้างบุคลิกภาพลักษณ์แง่ลบ ชี้ให้สาธารณชนเห็นว่าผู้สมัครฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอ ไร้น้ำยา ฉ้อฉล ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ไม่ซื่อสัตย์ เชื่อถือไม่ได้ ขาดคุณธรรม ไม่รักชาติ โง่เขลา ทำเพื่อตัวเอง ไม่เป็นประชาธิปไตย คำพูดเช่นนี้ประชาชนต้องใช้สติปัญญาความรู้ความเข้าใจ ไม่หลงไปกับความเท็จที่นักการเมืองตั้งใจสร้างขึ้น ต้องสามารถแยกความจริงออกจากความเท็จ ไม่ถูกนักการเมืองบางคนหลอกใช้
ที่สุดแล้วควรตั้งถามว่าการเมืองที่เป็นอยู่ทำให้ชีวิตดีขึ้นหรือไม่ สังคมกำลังสู่ความก้าวหน้ายั่งยืนหรือกำลังทำลายตัวเอง เลือกตั้งวันนี้มีผลต่อวันพรุ่งนี้
ย้อนดูผลการสำรวจของ Quinnipiac University Poll เมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา คนอเมริกัน 47% ไม่เอาผู้สมัครที่มาจาก 2 พรรคใหญ่ สนใจพรรคทางเลือกที่ 3 (a third-party candidate) ตอกย้ำความจริงที่ว่าคนอเมริกันเบื่อหน่ายการเมือง ไม่คิดว่าพรรคเดโมแครตกับรีพับลิกันเป็นทางออก แต่ที่สุดแล้วเมื่อมาถึงสัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้งคนอเมริกันได้แต่เลือกตัวแทนจาก 2 พรรคใหญ่อยู่ดี ซ้ำรอยการเลือกตั้งรอบก่อนๆ เป็นระบอบการเมืองที่คนอเมริกันยังเอาชนะไม่ได้ หลายคนคิดว่าระบอบการเมืองปัจจุบันไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชนจริง รู้สึกแปลกแยกต่อนักการเมือง
ประเด็นความไม่เป็นประชาธิปไตยบ่งชี้ว่าประชาธิปไตยสหรัฐยังไม่สมบูรณ์ แต่ต้องยอมรับว่า หากเทียบกับหลายประเทศ การเมืองอเมริกาพัฒนามากกว่า วัฒนธรรมประชาธิปไตยแข็งแรง สังคมส่งเสริมเสรีภาพทางความคิด แม้ประชาชนมีความเห็นต่าง ที่สุดแล้วระบบสามารถแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ไม่ลุกลามบานปลาย เป็นประเทศที่สามารถดึงประโยชน์จากดำรงอยู่ในประชาคมโลก (ไม่ว่าต่างชาติจะเห็นด้วยกับนโยบายสหรัฐหรือไม่ก็ตาม) จึงสมควรเรียนรู้ทั้งจุดอ่อนจุดแข็งของอเมริกา นำมาปรับใช้กับตัวเอง
ในอนาคตประเทศนี้จะเป็นสังคมนิยม เผด็จการฟาสซิสต์หรือประชาธิปไตยเต็มตัวเป็นประเด็นที่ควรติดตาม การเมืองอเมริกามีผลต่อระเบียบโลก มีผลต่อนานาชาติ การเลือกตั้งสหรัฐจึงไม่ใช่เรื่องของคนอเมริกันเท่านั้น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เจ้าพ่อทรัมป์ (Trump the Godfather)
ทรัมป์ไม่ได้ทำงานคนเดียว ต้องรวมสมาชิกรัฐสภารีพับลิกัน รวมทั้งคนอเมริกันหลายล้านคนที่สนับสนุนอย่างแข็งขัน เป็นพวกอำนาจนิยม
แนวคิดนโยบายต่างประเทศของรัสเซีย 2023 (2)
Russian Foreign Policy Concept 2023 สะท้อนมุมมองสถานการณ์โลก โดยเฉพาะส่วนที่รัสเซียกำลังเผชิญ วิสัยทัศน์อนาคตโลก
แนวคิดนโยบายต่างประเทศของรัสเซีย 2023 (1)
Russian Foreign Policy Concept 2023 มีรายละเอียดมาก ช่วยให้เข้าใจนโยบายต่างประเทศรัสเซียได้เป็นอย่างดี
จับตาเกาหลีจะกลายเป็นยูเครน2หรือไม่ (2)
ปัจจัยรัสเซียเป็นข้อโต้แย้งว่าเกาหลีเหนือไม่น่าจะเป็นยูเครน 2 ถ้าตีความว่าฝ่ายเหนือมีนิวเคลียร์ รัฐบาลเกาหลีเหนือประกาศเรื่อยมาว่าพร้อมใช้เพื่อป้องกันประเทศ
กำแพงภาษีทรัมป์2.0ไม่ใช่ทางออก
ที่น่าคิดคือ ทรัมป์น่าจะได้รับคำเตือนมาก่อนแต่ยังยืนยันเดินหน้าตั้งกำแพงภาษี คนอเมริกันต้องตรวจสอบว่าทรัมป์ 2.0 จะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้งจริงหรือไม่
จับตาเกาหลีจะกลายเป็นยูเครน 2 หรือไม่ (1)
ถ้าย้อนหลังตั้งแต่สมัยโอบามาจนล่าสุด จะเห็นว่ารัฐบาลเกาหลีใต้กับสหรัฐร่วมกันยกระดับความเข้มข้นสู่สงครามนิวเคลียร์ ตอนนี้นอกจากไต้หวันแล้วควรคิดถึงเกาหลีด้วย