ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้สรุปเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เป็นเงื่อนไขที่นำมาสู่การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 อันเป็นพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปรับคณะรัฐมนตรีและชะลอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราชั่วคราว ซึ่งรายงานจากสถานทูตฝรั่งเศสเห็นว่าเป็นการทำรัฐประหาร ในขณะที่รายงานสถานทูตอังกฤษรายงานว่าเป็นการยุบสภาฯและเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้ยกข้อความในรายงานสถานทูตที่เป็นภาษาอังกฤษต้นฉบับ ซึ่งจากรายงานดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า ทางสถานทูตอังกฤษเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของพระราชกฤษฎีกาฉบับวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ว่าเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศภาวะฉุกเฉินของฝ่ายบริหาร โดยในรายงานสถานทูตใช้คำว่า emergency decrees ซึ่งข้อความในตัวพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเองก็มีคำว่า “ฉุกเฉิน” อยู่ด้วย (ดูภาพประกอบ) และจากรายงานสถานทูตอังกฤษ อัครราชทูตอังกฤษนายซีซิล ดอร์เมอร์ยังแสดงความเห็นด้วยต่อการประกาศภาวะฉุกเฉินโดยการยุบสภาผู้แทนราษฎร การปรับคณะรัฐมนตรี รวมทั้งการตราพระราชบัญญัติต่อต้านคอมมิวนิสต์
การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ปิดประชุมสภา ปรับคณะรัฐมนตรี และชะลอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเป็นการชั่วคราว และการตราพระราชบัญญัติต่อต้านคอมมิวนิสต์ จึงไม่ใช่การทำรัฐประหารในสายตาของอัครราชทูตอังกฤษ เพราะเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศภาวะฉุกเฉิน ผู้เขียนเห็นว่า ความเห็นของอัครราชทูตอังกฤษต่อพระราชกฤษฎีกาฯ เป็นสิ่งที่ควรนำมาพิจารณา เพราะอังกฤษ เป็นประเทศต้นแบบการปกครองแบบรัฐสภาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ผู้เขียนได้กล่าวถึงความเห็นของนักวิชาการต่างประเทศต่อกรณีการประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ไปบ้างแล้ว เช่น ความเห็นของ เดวิด เค. วัยอาจ จากงาน Thailand A Short History, 1st edition 1982, 2nd edition, (Bangkok: Silkworm: 2003), กอบเกื้อ สุวรรณทัต-เพียน (Kobkua Suwannathat-Pian) ในงานที่ชื่อว่า Thailand’s Durable Premier: Phibun through Three Decades 1932-1957, (Oxford: Oxford University Press: 1995) โดยทั้ง วัยอาจ และ กอบเกื้อ ไม่ได้เห็นว่า การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 เป็นการทำรัฐประหาร ส่วน Judith A. Stowe ในงานที่ชื่อว่า Siam becomes Thailand: A Story of Intrigue, (Honolulu: University of Hawaii Press: 1991) ก็ไม่ได้กล่าวว่าเป็นการทำรัฐประหาร แต่ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่าต่อการปิดประชุมสภา (เธอใช้ว่า prorogation) ว่า “หนึ่งปีหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้มีการทำในสิ่งที่อาจเป็นตัวอย่างสำหรับอนาคต ( precedent) นั่นคือ การงดการมีสภาชั่วคราว บนเหตุผลที่กล่าวอย่างสุภาพว่า เป็นเหตุผลที่คลุมเครือ”
ต่อไปเป็นงานของ B.J. Terweil, Thailand’s Political History: From the 13th century to recent times, (Bangkok: River Books: 2005) แทร์วิลได้อธิบายความก่อนจะมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ว่า
“ในตอนต้นปี พ.ศ. 2476 เริ่มเกิดความแตกแยกรุนแรงขึ้นในหมู่สมาชิกสภา (Assembly) ระหว่างพวกหัวรุนแรงที่มีความคิดที่เป็นอุดมคติอย่างรุนแรง (more radical idealists) และสมาชิกที่เป็นอนุรักษ์นิยม เป็นความขัดแย้งต่อร่างนโยบายเศรษฐกิจแห่งชาติของปรีดีที่จะนำมาซึ่งผลกระทบอย่างกว้างขวางมาก ปรีดีอธิบายว่า รัฐบาลจะจ่ายค่าจ้างรายเดือนให้พลเมืองทุกคน ชาวนาจะไม่ได้ทำนาของตัวเองอีกต่อไป แต่จะทำนาในฐานะสมาชิกของชุมชนสหกรณ์ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล และรัฐบาลจะควบคุมที่ทำนาทั้งหมด รวมทั้งเครื่องจักรและการงานต่างๆ โดยมุ่งสู่การขจัดการประกอบกิจการส่วนตัว ปรีดีเรียกเค้าโครงเศรษฐกิจของเขาว่าเป็น ‘แบบแผนสังคมนิยมที่ผสมเสรีนิยม (the socialist pattern with an admixture of liberalism) เค้าโครงเศรษฐกิจนี้ได้ผ่านขั้นตอนของคณะกรรมาธิการโดยมีเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วย ได้แก่ พระยามโน พระยาทรงสุรเดช เมื่อเค้าโครงเศรษฐกิจที่เป็นประเด็นที่จะนำไปสู่การถกเถียงต่อในสภาอย่างรุนแรง ทำให้เห็นชัดถึงความแตกต่างในฐานคิดของแต่ละฝ่าย
ในตอนปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2476 พระยามโนปรณ์นิติธาดาได้ปิดการประชุมสภา (แทร์วิลใช้คำว่า prologued) และจากนั้นไม่นาน สภาก็ถูกยุบ (dissolved) ) และมีการตั้งคณะบริหารราชการแผ่นดินชุดใหม่ โดยไม่มีปรีดี และเขาถูกส่งให้ไปลี้ภัยที่ยุโรป ในเวลาเดียวกัน มีการออกกฎหมาย “ต่อต้านคอมมิวนิสต์” ทำให้การสนับสนุนลัทธิใดๆที่ยึดทรัพย์สินกิจการมาเป็นของรัฐ หรือ ละเมิดสิทธิทรัพย์สินส่วนบุคคลเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และในการตอบโต้คำวิจารณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจน จึงมีการตั้งสภาเศรษฐกิจขึ้น รวมทั้งที่ปรึกษาต่างประเทศ”
ต่อการประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภา แทร์วิลTerwiel ได้กล่าวถึง สาเหตุที่มีการปิดสภาและเพราะสภาไม่มีระเบียบและไม่สามารถควบคุมได้ (unruly Assembly)
-----------------
ต่อไปจะขอกล่าวถึงงานเขียนในภาษาไทยที่กล่าวถึงการประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 เริ่มจากหนังสือ พระปกเกล้าฯ กับชาติไทย ของ เปรมจิตร วัชรางกูร (พ.ศ. 2489) เปรมจิตร ได้กล่าวว่า
“เมื่อได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรแก่ปวงชนชาวไทยแล้วไม่กี่วัน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ สวนไกลกังวลอีกวาระหนึ่ง ซึ่งเป็นเวลานานถึง 10 เดือนเศษ
การไม่เปิดให้ตั้งสมาคมการเมืองคณะชาติขึ้นเป็นกรณีที่กระทำให้นักการเมืองบรรดาที่ฝักใฝ่การเมืองอยู่ทั้งหลายรู้สึกคุอยู่ในใจ แต่เป็นกระแสร์พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทุกคนต้องเชื่อฟังและหยุดยั้งไว้ด้วยความจงรักภักดี
การที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นประธานคณะกรรมการราษฎร (นายกรัฐมนตรี) สมัยนั้น ก็ด้วยคณะราษฎรผู้ก่อการปฏิวัติได้ถวายคำแนะนำให้ทรงตั้ง ซึ่งควรจะขอบคุณคณะราษฎรเป็นอันมาก ที่ไม่มีใครยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอันมีเกียรตินี้
หากพระยามโนปกรณ์ฯ นายกรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดินไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญแล้ว การยึดอำนาจครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2476 ก็อาจจะไม่บังเกิดขึ้น (เน้นโดยผู้เขียน)
ดูเหมือนเป็นชะตากรรมของประเทศชาติเสียมากกว่าอื่น จึงทำให้การเมืองไทยยุ่งเหยิงอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้จักจบสิ้น พระยามโนปกรณ์ฯ ออกคำแถลงการณ์อ้างเหตุว่า คณะรัฐมนตรีสมัยนั้น (ช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2476/ผู้เขียน) แตกแยกออกเป็น 2 พวก มีความเห็นไม่ตรงกัน ฝ่ายข้างน้อยนั้นปรารถนาจะวางนโยบายเศรษฐกิจไปในทางอันมีลักษณะเป็นคอมมูนิสต์ ฝ่ายข้างมากว่า นโยบายเช่นนั้นเป็นการตรงกันข้ามแก่ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวไทย เป็นที่เห็นได้โดยแน่นอนทีเดียวว่า นโยบายเช่นนั้นจักนำมาซึ่งหายนะแก่ประชาราษฎร์ และเป็นมหันตภัยแก่ความมั่นคงของประเทศ
พระยามโนปกรณ์ฯ ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎรเสียเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476 และประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเสียชั่วคราว จนถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2476 ซึ่งเป็นเวลานานถึง 81 วัน (เน้นโดยผู้เขียน) พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา พ.ต. หลวงพิบูลสงคราม น.ต. หลวงศุภชลาสัย และหลวงนฤเบศร์มานิตพร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายทหารบกทหารเรือ และพลเรือนได้ยึดอำนาจการปกครองอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 2”
จากข้างต้น จะเห็นได้ว่า แม้ว่าเปรมจิตรจะไม่ได้กล่าวว่า การประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 เป็นการทำรัฐประหาร แต่เขาเห็นว่า พระยามโนปกรณ์ฯ นายกรัฐมนตรีไม่ได้บริหารราชการแผ่นดินไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งเปรมจิตรน่าจะหมายถึง การประกาศพระราชกฤษฎีกาฯ ปิดประชุมสภา และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราของพระยามโนฯ เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเป็นสาเหตุให้เกิดการยึดอำนาจการปกครองเป็นครั้งที่สอง หลังจากยึดอำนาจครั้งแรกในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘ยิ่งลักษณ์’ กลับคุก ‘บิ๊กเสื้อแดง’ รู้มา! ว่าไปตามราชทัณฑ์ไม่ใช้สิทธิพิเศษ
“เลขาฯ แสวง” ยันเดินหน้าคดี “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างการปกครองต่อ เพราะใช้กฎหมายคนละฉบับกับศาล รธน. "จตุพร" ลั่นยังไม่จบ! ต้องดูสถานการณ์เป็นตอนๆ ไป
ลุ้นระทึก! เลือก ‘อบจ.’ 3 จว. ‘กกต.’ จับตาที่อุดรฯแข่งดุ
“เลขาฯ แสวง” มั่นใจเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี แข่งขันสูงไม่ใช่ปัญหา แต่ช่วยกระตุ้นประชาชนออกมาใช้สิทธิ เผยมีเรื่องร้องเรียน 2 เรื่อง ใส่ร้ายระหว่างผู้สมัคร เร่งตรวจสอบ
'วรชัย' ชี้ 'ยิ่งลักษณ์' ไม่ได้รับความเป็นธรรม บอกกลับไทยตามกระบวนการไม่มีสิทธิพิเศษ
นายวรชัย เหมะ อดีตสส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ออกมาบอกว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กกต. มั่นใจเลือกตั้ง นายกอบจ.อุดรธานี แข่งขันสูงไม่ใช่ปัญหา
นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้สัมภาษณ์ระหว่างไปตรวจเยี่ยมการรับมอบวัสดุอุปกรณ์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดการเ
เลขาฯกกต.ยันคดี 'ทักษิณ-เพื่อไทย' ล้มล้างปกครองฯ ที่ศาลรธน.ยกคำร้องไม่เกี่ยว กกต.
นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง ข้อกล่าวหาว่า นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ล้มล้างการปกครอง ว่า ศาล
'นิพิฏฐ์' ติดใจปมรพ.ชั้น 14 พร้อมให้กำลัง 'ธีรยุทธ'
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตสส. จังหวัดพัทลุง โพสต์เฟซบุ๊กว่า เห่าหอนไปวันๆ