ดูๆ แล้ว คนไต๋ หรือ คนปักษ์ใต้ โดยเฉพาะแถวๆ ชุมพรและสงขลา...ท่านคงไม่ถึงกับคิดจะให้ ราคา ต่อบรรดาพวกที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นประเภท สามกีบ หรือ สามนิ้ว มากมายซักเท่าไหร่นัก ผลของการ เลือกตั้งซ่อม ที่ผ่านมา จึงกลายเป็นคำตอบ คำอธิบาย ที่ออกจะชัดเจนพอสมควร...
----------------------------------------------
ส่วน คนกรุงเต็บ หรือบรรดาชาว กทม.เมืองที่คนตกท่อ...โดยเฉพาะแถวๆ เขตสี่ จะคิดเห็น เป็นประการใด คงต้องรอไปจนช่วงสิ้นเดือนมกราฯ หรือช่วงวันที่ 30 ม.ค.เลยนั่นแหละ ถึงพอรู้ๆ ว่าไผเป็นไผ ใครเป็นใคร ใครเป็นหมู่ เป็นจ่า หรือเป็นสารวัตรกันแน่ แต่ท่ามกลางการมาแรง แซงโค้ง มาพร้อมๆ กับความโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาทริษยาและชิงชัง ของประดาพวก คนรุ่นใหม่
ประเภท กิ้งก่า หรือ กะปอม ทั้งหลาย สิ่งที่น่าสนใจและน่าคิดสะกิดใจอยู่ไม่น้อยก็คือว่า ด้วยเหตุเพราะทั้งหลาย ทั้งปวง ในลักษณะทำนองนี้ ดูๆ จะก่อให้เกิด ปฏิกิริยา ต่อบรรดาพวก คนรุ่นเก่า ประเภทที่ถูกเรียกขานในนาม ไดโนเสาร์ หรือ เต่าพันปี ในบางกลุ่ม บางราย ที่ชักคิดอยากจะ ออกอาวุธโต้ ด้วยการแสดงออก ด้วยการรวมตัวเป็นเครือข่าย หรือเป็น พรรคการเมือง ให้รู้แล้ว รู้แรด ไปซะที!!!
---------------------------------------------------
อันนี้นี่แหละ...ที่น่าสนใจ หรือน่าคิด สะกิดใจ มิใช่น้อย คือถ้า ปฏิกิริยา ที่ว่านี้ เกิดขึ้นภายใต้ความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจ เป็นพื้นฐานแล้วล่ะก็ ย่อมต้องถือเป็นอิสระ เสรี เป็น เสรีภาพ หรือเป็น รสนิยม ในอีกรูปแบบหนึ่ง ยิ่งเมื่อเป็นเสรีภาพ เป็นรสนิยม ของคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ได้ชื่อว่า ปวงชนชาวไทย แทบทั้งมวล ทั้งปวงด้วยแล้ว ที่อยากจะ อนุรักษ์ สิ่งใดๆ ก็ตาม ซึ่งมีคุณค่า มีราคา มีประโยชน์ต่อสังคม-ส่วนรวมมาโดยตลอด ไม่ว่าจะแฝงฝังอยู่ในค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี ไปจนถึงศาสนา ฯลฯ ก็แล้วแต่ บรรดาเสรีภาพ หรือรสนิยม เหล่านี้ มันควรจะถูกนำไปเกี่ยวข้องกับ การเมือง หรือถูกแปรสภาพให้กลายเป็น การเมือง หรือไม่? อย่างไร? ถือเป็นเรื่องที่น่าคิด น่าตรึกตรอง มิใช่น้อย...
--------------------------------------------------------
คือด้วยเหตุเพราะสิ่งที่เรียกว่า การเมือง บ้านเราเท่าที่ผ่านมานั้น...มันออกจะเป็นอะไรที่ยุ่งเหยิง อีนุงตุงนัง ซะเหลือเกิน หรือเป็นการเมืองที่มักจะมี ตัวกู-ของกู เป็นที่ตั้ง ไม่ได้เป็นการเมืองในแบบฉบับตามอุดมการณ์ อุดมคติ ของอภิมหาพระอย่าง ท่านพุทธทาส เอาเลยแม้แต่น้อย หรือออกจะไม่สะอาด-ไม่สงบ-ไม่สว่าง หนักไปทางสกปรกรกรุงรัง ยุ่งเหยิงนัวเนียยิ่งกว่าหนวดแขกพันกับฝอยขัดหม้อ แถมยังออกจะหม่นมัว มืดมนอนธกาล ต้องควานหาแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์กันไม่รู้จะกี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว ภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้การแปรสภาพ การนำเอาเสรีภาพและรสนิยมในเชิงอนุรักษ์ ของบรรดาปวงชนชาวไทยโดยส่วนใหญ่ ไปเกี่ยวข้อง พัวพัน กับสิ่งที่เรียกว่า การเมือง จึงออกจะเป็นอะไรที่ต้องอาศัยศิลปะ ที่นุ่มและเนียนเอาจริงๆ หรือต้องยูทิไลซ์ ต้องพาสเจอร์ไรซ์ กันประมาณ 2 ชั้น 3 ชั้น หรือ 5 ชั้น 8 ชั้น ถึงพอจะใช้การได้...
-----------------------------------------------------------
ยิ่งถ้าหากแค่คิดเอามาใช้รับมือกับพวกเด็กแวนซ์ เด็กเวร เท่านั้น...โอกาสที่จะ เสียหาย หรือ เสียของ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย คล้ายๆ การ เอาไม้สั้น-ไปรันอุจจาระ อะไรประมาณนั้น เพราะเสรีภาพและรสนิยมในเชิงอนุรักษ์ที่ว่า น่าจะเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง ประณีตและนิ่มนวล มีคุณค่า ราคา ไม่ต่างอะไรไปจาก ธรรมะ ชนิดหนึ่ง อันเป็นสิ่งที่บรรดา นักการเมือง โดยทั่วไปทั้งหลาย ยากจะ เข้าถึง และ เข้าใจ กันได้ง่ายๆ ถึงพยายามแปลงสภาพ พยายามยกระดับพัฒนาตัวเอง ให้กลายไปเป็น พรรคพระพุทธเจ้า ไปโน่นเลย แต่เมื่อต้องย้ายพรรค ยุบพรรค ต้องแฉลบออกข้างไปเป็น รองหัวหน้าพรรค เป็น องครักษ์พิทักษ์บิ๊กตู่ แบบชนิดตรงไป-ตรงมา หรือแบบไม่ต้องมีศีล 5 ศีล 8 หรือศีล 227 ข้อเป็นตัวกำกับต่อไปอีกแล้ว ในแง่คุณค่า ราคา มันก็เลยออกไปทาง เสียหาย หรือ เสียของ ดังที่ว่าไว้แล้วนั่นเอง...
--------------------------------------------------------------
ด้วยเหตุนี้...การดำรง รักษา เสรีภาพและรสนิยมในเชิงอนุรักษ์ที่ว่า ไว้ด้วยความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่จำต้องให้ไป แปดเปื้อน กับสิ่งที่เรียกว่า การเมือง มากมายเกินไปนัก น่าจะเป็นอะไรที่เหมาะสม สอดคล้อง กับ ความเป็นไทย และ ความเป็นผู้หลัก-ผู้ใหญ่ อันเป็นสิ่งที่มีธรรมะข้อสำคัญ หรือที่เรียกว่า ขันติธรรม นั่นแหละเป็นบรรทัดฐาน เพราะอย่างที่สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกองค์ปัจจุบัน ท่านทรงว่าไว้แล้วนั่นแหละว่า ด้วย ขันติธรรม ที่ว่านี้นี่เอง ย่อมนำไปสู่ สามัคคีธรรม อันเป็นที่พึงปรารถนาของปวงชนชาวไทยและชาวโลกทั้งหลายอยู่แล้วแน่ๆ...
--------------------------------------------------------------------
และก็แน่นอนนั่นแหละว่า...ตลอดช่วง ทศวรรษแห่งความมืดมน เท่าที่ผ่านมานับเป็นสิบๆ ปี จนแม้กระทั่งตราบเท่าทุกวันนี้สิ่งที่ขาดหายไปจากประเทศไทย สังคมไทย เอามากๆ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า สามัคคีธรรม นั่นเอง ดังนั้น...การหาทางนำเอาสิ่งเหล่านี้ให้หวนกลับคืนมาสู่ประเทศชาติ บ้านเมือง ควรจะอาศัย การเมือง อาศัย พรรคการเมือง หรืออาศัยสิ่งที่ประณีต ละเอียดอ่อน และลึกซึ้ง ยิ่งไปกว่านั้น อันนี้...คงต้องเก็บไปนั่งคิด นอนคิด กันเอาเองก็แล้วกัน!!!
--------------------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Michael Cibenko... “One problem with gazing too frequently into the past is that we may turn around to find the future has run out on us. – ปัญหาของการมัวแต่เหลียวหลังมองอดีต ก็คือพอหันกลับมา อาจพบว่า...อนาคต...ได้ผ่านเลยเราไปแล้ว...”
---------------------------------------------------------------------
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อย่าถึงกับต้องไปถือสาหาความ
ถือซะว่า...ท่านอาจ หาเสียง มาซะจนเคย!!! คือการประกาศจะสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม.มาก่อนล่วงหน้า 2 ปีเนี่ย ย่อมมิใช่น้อยๆ
ต้องเริ่มต้นด้วยการทำลาย 'ความเกลียด'
นับตั้งแต่คุณน้า ชัชชาติ บุรุษผู้กล้ามใหญ่ที่สุดในปฐพี ท่านแลนด์สไลด์ แอฝะล้านช์ หิมะถล่ม ดินทลาย ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เที่ยวนี้
ว่ากันไปเรื่อยๆ!!!
เห็นว่า...ตั้งแต่สัปดาห์หน้า วันที่ 1 มิ.ย. บรรดา ขาเฮ และ ขาหื่น ทั้งหลาย
ว่าด้วย...ชัยชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.
อืมม์ม์ม์...ต้องเรียกว่าทั้ง แลนด์ ทั้ง สไลด์ เอาเลยทีเดียวเจียว สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เที่ยวนี้
จาก กทม.ถึงความเป็นชาติ เป็นสังคมไทย
ขณะกำลังปั่นต้นฉบับชิ้นนี้...ก็ยังไม่มีโอกาสรับรู้ได้เลยว่า ตกลงใครเป็นหมู่ เป็นจ่า เป็นสารวัตรกันแน่!!!
ว่าด้วย...อนาคตของ “บิ๊กตู่”
หมู่นี้รู้สึกว่า...เสียงด่า เสียงทอ ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮา น่าจะซาๆ ไปพอสมควร จะด้วยเหตุเพราะใครต่อใครหันไปสนใจเรื่องอื่น