๓.ป๋วย-สฤษดิ์"แตกต่างที่ลงตัว"

วันนี้เป็นตอนสุดท้ายของเรื่อง "คิดถึงอาจารย์ป๋วย"

"คุณภิญโญ อุดมบุญญานุภาพ"

เปิดโลกทัศน์สะท้อนอดีต "การเมือง ๓ ยุค" ผ่านบทบาทตัวบุคคลเสริมมุม "รำลึกทางสร้างสรรค์"

แทน "ย้ำคิด-ย้ำแค้น" ซ้ำซาก รังแต่จะทำให้รากสมองเสื่อม

ตอนนี้ ค่อนข้างยาว ก็เข้าเรื่องกันเลย

...............................

***คิดถึง อ.ป๋วย ตอน ๓***

"ฟ้าหัวเราะเยาะข้าชะตาหรือ ดินนั้นถืออภิสิทธิ์ชีวิตข้า

พรหมลิขิตขีดเส้นเกณฑ์ชะตา ฟ้าอินทร์พรหมยมพญาข้าหรือเกรง ".........

เพลงดัง-เพลงโปรดของ "จอมพลสฤษดิ์" แสดง

ถึงตัวตนและไลฟ์สไตล์การบริหารชนิดไม่กลัวหน้า

อินทร์หน้าพรหม เด็ดขาดจริงจัง

สั่งเผาบ้องฝิ่น บ้องกัญชา ใครมานั่งซ่าส์หัวสะพานก่อกวนชาวบ้าน เชิญท่านไปซ่าส์ในคุก ไม่ว่าจะเป็น ปุ๊ ระเบิด

ขวด, แดง ไบเล่ย์, เกชา เปลี่ยนวิถี, ผีบุญ

มือวางเพลิง-มือเผา "สั่งยิงเป้า" ด้วย ม.17 เสร็จสรรพ

"ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว"

...........................

เล่ากันว่า หลังจากจอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติ 16 ก.ย.2500 ได้ให้ "พลเอกถนอม กิตติขจร" ขึ้นเป็นนายกฯ เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ

แต่มันมีเรื่อง "ขัดแข้ง-ขัดขา" แก้ปัญหาประเทศไม่ทันใจ

เช้า 20 ตุลาคม 2501 ที่ "หอประชุมกองทัพบก" ท่ามกลาง

ทหารระดับผู้บัญชาการกรมขึ้นไป จอมพลสฤษดิ์กล่าวเสียงดัง

"วันนี้ เวลา 15.00 น. "รัฐบาลพลเอกถนอม" จะเข้าเฝ้าฯ ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ

จากนั้นกำลังทุกหน่วยจะเคลื่อนออกปฏิบัติการตามจุดต่างๆ หากใครในที่นี่ไม่เห็นด้วยโปรดบอก"

ทุกคนนิ่งเงียบ ไม่มีนายทหารคนใดไม่เห็นด้วย

"......ขอให้ทุกคนฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด คราวนี้เราจะทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างจริงจังสักครั้ง

ขอให้ทุกคนโชคดี"

15.00 น. วันที่ 20 ต.ค.2501 พลเอกถนอมเข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลลาออกจากนายกฯ

20.45 น. จอมพลสฤษดิ์ "ประกาศปฏิวัติ" โดยมี

-จอมพลสฤษดิ์ หัวหน้าคณะปฏิวัติ

-พลเอกถนอม รองหัวหน้า

-พล.ร.อ.หลวงชำนาญอรรถยุทธ ผู้ช่วยหัวหน้า

-พล.ต.พงษ์ ปุณณกันต์ เลขาฯ

ตามมาด้วยพลเอกสุทธิ สุทธิสารรณกร/พลเอกประภาส/พลตรีกฤษณ์ สีวะรา/พระยาอรรถการีย์นิพนธ์ ฯลฯ...

ต่อมาเมื่อ 10 ก.พ.2502 ก็ได้มีประกาศพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" เป็นนายกฯ คนที่ 11 ของประเทศไทย

นั่นคือเส้นทางจอมพลสฤษดิ์ ผู้พิสมัยเพลง "เย้ยฟ้าท้าดิน" มีการร้องและตบรางวัลผู้ขับร้องทุกครั้งในงานเลี้ยงของเหล่านายทหาร เป็นตำนานถูกเล่าขานกันมา

แม้แต่ "ป๋าต๊อก-สิบตรีล้อต๊อก" ยังเล่าแล้วเล่าอีก

......................................

เมื่อสิ้นจอมพลสฤษดิ์ สู่ยุค "จอมพลถนอม" การเมือง

ก็เข้าสู่กงล้อแห่งความยุ่งยาก หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา.16

การรอคอยเอาคืนของ "ขวาพิฆาตซ้าย" ก็มาถึง

ซุ่มแผนปล่อยให้ขบวนการนิสิตนักศึกษาเล่นบทล้ำเส้นมานาน ตั้งแต่ขับไล่ "จอมพลถนอม" ต้องหนีออกนอกประเทศ

ก่อนหน้านั้น อาจารย์ป๋วยเขียน จม.เปิดผนึกอันลือลั่น

จาก "นายเข้ม เย็นยิ่ง" ถึง "นายทำนุ เกียรติก้อง" (ถนอม กิตติ

ขจร) ผู้ใหญ่ "บ้านไทยเจริญ"

เสมือนเตือนว่า "การบริหารประเทศเริ่มมีปัญหา "เล่น

พรรค-เล่นพวก เครือญาติ หาผลประโยชน์เชิงนโยบาย

แต่ก็สายเกินที่จะแก้

จอมพลถนอมถูกขับไล่ใน "วันมหาวิปโยค" 16 ตุลา.16

วกมาดูสมรภูมิ...สนามหลวง

"สนามหลวง" เมื่อก่อนเป็นที่แข่งว่าว เช่าจักรยาน แสดงกล ขายยา พังพอนกัดงูเห่า เขย่าป๋องแป๋ง ร้อง...'อับดุลเอ้ย..เอ๊ย.!'

ได้กลายมาเป็นสมรภูมิ "นิสิตนักศึกษา" ชุมนุมเรียกร้อง อยู่ใกล้ "ธรรมศาสตร์" อีกต่างหาก

เอะอะมาที่สนามหลวงและธรรมศาสตร์ เป็นที่หนักใจ

อาจารย์ป๋วย ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งอธิการบดี มธ.

โดยมี "ดร.ประกอบ หุตะสิงห์" เป็นนายกสภามหาวิทยาลัย

ขณะนั้น ปี 2519 "ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช" เป็นนายกฯ บริหารประเทศแบบ "ฤาษีเลี้ยงลิง"

อิงแต่กฎหมาย ไม่ทันเกม ไม่มีเหลี่ยมคู สู้หม่อมน้องที่ชื่อ "คึกฤทธิ์ ปราโมช" ไม่ได้

ขนาดนักร้องลูกทุ่ง "เพลิน พรหมแดน" ยังร้องและแต่งเพลงให้ ไม่รู้ว่าชมหรือเหน็บ

"คึกฤทธิ์ เป็นคนคิดลึก..กลางคืนดึกๆ นั่งนึก นอนคิด"

ปฏิบัติการ "ขวาพิฆาตซ้าย" กำจัดขบวนการนิสิตนักศึกษา มีการตั้งกลุ่ม "กระทิงแดง" กลุ่ม "นวพล" และ "ลูกเสือชาวบ้าน"

มีการกล่าวหาว่า อ.ป๋วย มีแนวคิดและปลูกฝังให้ นศ.เป็นคอมมิวนิสต์ มีการสะสมอาวุธใน มธ.

ฝายขวาที่ปลุกปั่นประกอบด้วย พล.ต.สุดสาย หัส

ดินฯ พ.ท.อุทาร สนิทวงศ์ฯ ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์

แม้แต่ "พระกิตติวุฑโฒ" ยังสุมไฟว่า "ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป"

สำหรับ "ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์" ผู้นี้ นัยว่าอยากจะมาเป็นใหญ่ใน มธ. แต่นักศึกษาและบุคลากรไม่ต้อนรับ

ต้องกลับไปเล่นดนตรีไทย สีซอ ล่อลูกระนาด อยู่ ม.เกษตร บางเขน เค้นความแค้น อิจฉา อ.ป๋วย อยู่ตลอด

........................

เมื่อถึงจุดแตกหัก "พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่" ออกมายึดอำนาจ เรียก "คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน"

จะปฏิรูปกวาดล้างประเทศ ออกไล่จับปราบปราม นศ. อาจารย์ป๋วยขอให้ นศ.เข้ามาอยู่ใน มธ.

แต่กลุ่มกระทิงแดงและนวพลก็ไล่ทำร้ายนักศึกษา ลากตัวออกไปฆ่า แขวนคอที่ต้นมะขามสนามหลวง ต่อหน้าตำรวจผู้รักษากฎหมายของบ้านเมือง ยากจะแก้ไข

ในที่ประชุมคณาจารย์ใน มธ.มีเพื่อนฝูงและอาจารย์หลายคนแนะให้ อ.ป๋วยเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อความปลอดภัย

เพราะวิทยุยานเกราะยุยงปลุกปั่น ให้ลงประชาทัณฑ์อธิการบดี มธ.ในฐานยุยงส่งเสริม นศ.ให้เป็นคอมมิวนิสต์ ทำลายสถาบันฯ

อ.ป๋วยเห็นว่าหลบซ่อนอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์

 ในขณะที่ อ.ป๋วยเดินทางไปสนามบินดอนเมือง วิทยุ

ยานเกราะได้ออกอากาศปลุกเร้าโดย "อุทิศ นาคสวัสดิ์"

"พวกเรา...ขณะนี้ไอ้หัวโจก "คอมมิวนิสต์ใหญ่" มันกำลังจะหนีไปต่างประเทศที่ดอนเมือง เร็วๆ พวกเรา...ตามไปบ้อมมัน"

ผมขอยืนยัน ได้ยินจาก "วิทยุยานเกราะ" เต็มสองหูด้วย

ความหดหู่ใจว่า "อาจารย์ผมจะรอดไหมหนอ"?

ที่ดอนเมือง กระทิงแดง/นวพล/ลูกเสือชาวบ้าน ทยอยไปล้อมนายตำรวจยศ พ.ต.ท.เข้าไปตบหน้า อ.ป๋วยขณะโทรศัพท์ จนโทรศัพท์หลุดมือและหมวกกระเด็น

นำมาควบคุมในห้อง รอคำสั่งจาก "หน่วยเหนือ" และสุดท้าย "หน่วยเหนือ" สั่งให้ปล่อยอาจารย์ป๋วยให้ไปได้

........................................

"กงล้อแห่งกรรม" ภายหลังทราบว่า นายตำรวจผู้ตบหน้าอาจารย์ป๋วย ได้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเมื่อแก่ตัวและกระโดดจากชั้นสามของอาคารศูนย์การค้าดังแห่งหนึ่ง...ฆ่าตัวตาย!             

อ.ป๋วยเป็นคนดี มีคุณธรรมมาก แม้คนทั้งเมืองจะรู้ชื่อของนายตำรวจผู้นี้ แต่อาจารย์ไม่ได้บอก

แม้แต่ในบันทึกที่อาจารย์เขียน เพียงแต่เล่าว่า "เมื่อนายตำรวจผู้นั้นคืนกระเป๋าและเอกสาร อาจารย์ก็บอกขอบใจและบอกเขาว่า....

"คุณกำลังทำบาปอย่างร้าย เพราะผมบริสุทธิ์จริงๆ"

.......................................

อาจด้วยความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง ภายหลัง อ.ป๋วยได้ล้มป่วย ด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก                เป็นอัมพาต พูดไม่ได้ เดินและขยับตัวไม่ได้

แม้จะพักรักษาตัวกลับมาได้ ก็ไม่เหมือนเดิม มือขวาใช้ไม่ได้ เดินลำบาก การรับรู้ต่างๆ ไม่ปกติ

ซึ่งเป็นภาพที่ผมได้ไปพบและเห็นมา จากการไปพบอาจารย์ที่บ้านซอยอารีย์ พหลโยธิน ที่เล่ามา

มันช่างเป็น "กงล้อแห่งกรรม" ที่เกิดกับปุถุชนทั้งหลาย แต่ทำไมมันถึงมาเกิดกับบุคคลที่ทำดี หวังดี/มุ่งดีต่อคนไทย/ต่อชาติบ้านเมืองอย่างนี้หนอ

ก็ได้แต่ตัดใจ ให้นึกถึงภาพในวรรณคดี

ที่ 'โจโฉ' ตกต่ำ ขี่ม้าหนีตาย ถูกไล่ล่า ต้องตัดหนวด ถอดเสื้อคลุมทิ้ง รอดตายได้หวุดหวิด

ริมฝั่งแยงซี โจโฉตะโกนขึ้นฟ้า....

"มันเป็นเวรกรรมของข้า มันเป็นคำพิพากษาของสวรรค์

มนุษย์ไม่อาจฎีกาได้"

คุณูปการใหญ่หลวงที่อาจารย์ทำไว้ให้ประเทศ จะ

ยังคงจารึกอยู่ในความทรงจำของลูกศิษย์ผู้ต่ำต้อยคนนี้อยู่

เสมอมิรู้ลืม

ที่บ้านที่ผู้เขียนสร้างไว้เพื่อใช้พำนักในบั้นปลายชีวิตที่ริมฝั่งโขง นครพนม (ถิ่นเดียวกันกับบ้านเกิดของจอมพลสฤษดิ์)

ได้อุทิศผนังด้านหนึ่งเป็น WALL OF THE HEROES.

 (The Heroes Who Changed The World.)

ประดับภาพของ อ.ป๋วยและจอมพลสฤษดิ์ เคียงคู่วีรบุรุษดังๆ ของโลก เพื่อให้เป็นภาพที่เตือนใจและรำลึกถึงนิรันดร์

อีกด้านหนึ่ง ไม่ลืมที่จะตั้งตู้ไวน์ ไว้ใต้รูปป๋า "สุเทพ วงศ์กำแหง" เจ้าของเพลง "เย้ยฟ้าท้าดิน" เพลงโปรดของ "จอมพลสฤษดิ์"

**ส่งภาพมาอ้างอิงให้ดูว่าข้อยทำจริง ไม่ได้โม้***

สวัสดี...."ภิญโญ อุดมบุญญานุภาพ"

.....................................

ผมก็สวัสดีและขอบคุณ "คุณภิญโญ" ที่ให้ผมอาศัยเกาะกินซะ ๓ วันสบายไป.

-เปลว สีเงิน

๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๗

 

เปลวสีเงิน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

๒.'สฤษดิ์ในทัศนะป๋วย'

วันนี้ ๑๔ ตุลา. ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์การเมือง จะพบว่า "ปฐมบท" แห่ง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙

๑.รำลึกผ่าน 'อาจารย์ป๋วย'

คิดๆ มันก็แปลกนะ.... ว่ายา "เม็ดเล็กๆ" เม็ดหนึ่ง ช่วยให้คนหายไข้ก็ได้ ขณะเดียวกันมันก็ทำให้คนตายได้!