8ปีที่แล้ว….ที่ไม่มีวันลืม

ในชีวิตทุกคนมักจะมีอยู่ไม่กี่เหตุการณ์ที่ทำให้เราจำบรรยากาศ จำบริบท จำความรู้สึก และจำทุกรายละเอียด เมื่อเรารำลึกถึง หรือนึกถึงอีกที

จะเป็นเหตุการณ์ส่วนตัว เช่น กรณีของผมคือ วันเวลาที่ผมรับทราบข่าวคุณพ่อผมเสีย วันเวลาที่แฟนผมบอกว่าเขาท้อง ช่วงเวลาที่ ผมรู้ผลการเลือกตั้งว่าผมชนะ เป็นต้นครับ ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์อื่นๆ ในชีวิตไม่สำคัญ แต่ความทรงจำในชีวิตมีเยอะแยะ แต่ถือว่าเป็นหลายขั้น และหลายชั้นครับ

เหตุการณ์สำคัญๆ ชั้นพิเศษ เหมือนตอนได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ทำให้เราย้อนกลับไปช่วงเวลาที่ได้กลิ่นนั้นๆ ครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม กลิ่นสบู่ก็ตาม หรือเวลา

ได้ยินเพลงทำให้นึกถึงช่วงเวลาพิเศษ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ย้อนเวลากลับไป และจำบรรยากาศ (รวมถึงความรู้สึก) ได้ดีมาก (ส่วนจะเป็นความทรงจำที่ดีหรือไม่ดีนั้น ต้องว่ากันไป)…. แต่ยังน้อยกว่าเหตุการณ์ไม่กี่เหตุการณ์ที่มีผลต่อชีวิตเราจริงๆ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม

ถ้านับเหตุการณ์สาธารณะนั้น หมายถึงเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตส่วนตัวผม ผมต้องบอกว่าเหตุการณ์หนึ่งคือ 9-11 ช่วงที่รับทราบข่าวเครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรด ผมจำได้ว่าผมอยู่ที่ไหน ผมอยู่กับใคร และบรรยากาศเป็นแบบไหน จำความรู้สึกของทุกคนที่นั่งโต๊ะเดียวกัน รวมถึงความรู้สึกของคนที่อยู่ในสถานที่เดียวกัน เมื่อมีความเข้าใจว่าสิ่งที่พวกเราเห็นผ่านจอนั้นคืออะไร เพราะช่วงแรกไม่มีใครเข้าใจ และไม่มีใครรู้เรื่อง แต่พอทุกอย่างเริ่มซึมซับ พอเราเริ่มเข้าใจกันว่าอะไรเกิดขึ้น ผมคิดทันทีว่าชีวิตและโลกเปลี่ยนไปแล้ว

ถ้าเป็นคนรุ่นก่อน ในสหรัฐ เขาจะนับเหตุการณ์ลอบสังหารอดีตประธานาธิบดี John F. Kennedy เป็นตัวอย่าง

อีกเหตุการณ์ที่ใกล้ชิด แต่ไม่เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวผมโดยตรง แต่มีความสำคัญกับชีวิตคือ การสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 (ผมขออนุญาต ขอโทษล่วงหน้า ถ้าผมใช้คำไม่ถูก หรือไม่ถูกลักษณะอย่างเป็นทางการ ผมไม่มีเจตนาจะลบหลู่ หรือหมิ่นอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ผมแค่อยากอธิบายสิ่งในใจตามเหตุการณ์)

ผมน่าจะเคยเล่าเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ขออนุญาตเล่าอีก เพราะวันนี้บังเอิญตรงกับวันสวรรคตพระองค์ท่าน จะเขียนเรื่องอื่นคงไม่ดีเท่ากับเขียนเรื่องนี้ครับ

ย้อนเวลา 8 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมกำลังเริ่มใช้ชีวิตใหม่ในตำแหน่งเลขาธิการสมัชชารัฐสภาอาเซียน หรือ Secretary General of the ASEAN Inter-Parliamentary Assembly (AIPA) วาระ 3 ปี เริ่ม 1 ตุลาคม ปี 2016 ถึง 30 กันยายน 2019 ประจำอยู่จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียครับ

ในตำแหน่งมีบ้านให้ ซึ่งเป็น Townhome อยู่ไม่ลำบาก ในช่วงแรกๆ ที่ผมอยู่ ภรรยาผมตามไปด้วยพร้อมลูกเล็ก (ตอนนั้นลูกสาว 1 ขวบครึ่ง) พี่เลี้ยง (ของลูก) และลูกคนที่ 2 ที่อยู่ในท้องภรรยาผม (น่าจะท้องประมาณ 5 เดือน) ในช่วงแรกๆ พวกเรากำลังสร้างความคุ้นเคยกับบรรยากาศใหม่ บ้านใหม่ และชีวิตใหม่ ตื่นเต้นก็ตื่นเต้น กังวลก็กังวล และตั้งใจก็ตั้งใจที่อยากทำงานให้ดี

แต่ตั้งแต่ก่อนผมจะเริ่มวาระ เริ่มมีข่าวลือแพร่หลายสารพัด ผ่านมือถือบ้าง ผ่านโซเชียลบ้าง ผ่านหูบ้าง ซึ่งมีแหล่งอ้างอิงสารพัดต่างๆ นานา “วงใน” “คนใกล้ชิด” สารพัดคำอ้างอิงทั้งหลายครับ ทุกข่าวลือจะพูดเรื่องพระองค์ท่าน ก็เลยมีประเด็นนี้ก่อนผมจะไปอยู่แล้ว แต่พออยู่ที่นู่น มีข่าวยิ่งหนาหูมากขึ้น

จนกระทั่งเช้าวันที่ 13 ตุลา. สารพัดข่าวลือทั้งหลายร้อนระอุ เลยทำให้พวกเราที่อยู่ห่างไกลไทย ไม่รู้จะทำอะไร ได้แต่รับข่าวลือผ่านมือถือเท่านั้น พอตกบ่าย สารพัดข่าวลือถึงขั้นร้อนระอุที่สุด และความรู้สึกของพวกเราเริ่มฝ่อ และใจก็เริ่มตก

พอช่วงเย็นและช่วงค่ำ พวกเรานั่งรอฟังข่าวยืนยัน เนื่องจากระบบอินเทอร์เน็ตในอินโดฯ ไม่เสถียรมากนัก (ตอนนั้น) และโลกโซเชียลไม่พัฒนาอยู่ในขั้นเจริญเหมือนยุคปัจจุบัน กว่าพวกเราจะหาช่องทางฟังข่าวสดๆ ไม่ง่ายครับ พวกเราต้องเสิร์ชหาแล้วหาอีก และในที่สุดหาช่องทางผ่านกรมประชาสัมพันธ์จนได้

ในห้องนอนของผมเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ มีเตียง มีโต๊ะกาแฟ และที่นั่ง เลยนั่งกันหลายคนได้ แต่ด้วยตำแหน่งแล็ปท็อปของแฟนผมนั้นต้องอยู่ในมุมหนึ่งของห้องเพื่อได้รับสัญญาณชัดสุด พวกเราต้องนั่งพื้น และนั่งล้อมแล็ปท็อปของแฟนผมที่ตั้งอยู่บนพื้น ซึ่งจะมีผม มีแฟนผม มีลูกสาว และพี่เลี้ยงของลูก ในฐานะเด็กอายุยังไม่ 2 ขวบ เขาคงไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

ผมจำได้ว่า กว่าช่องทางของกรมประชาสัมพันธ์จะนิ่งและชัดโดยที่สัญญาณไม่หลุดนั้น มันต้องเปิด-ปิดเครื่องหลายรอบ แต่พอเริ่มมีข่าวที่พวกเรารอฟังนั้น ทุกอย่างชัด และทุกอย่างนิ่ง เรารอฟังข่าวที่พวกเราไม่อยากยอมรับ แต่ต้องฟัง และวินาทีที่ข่าวปรากฏอย่างเป็นทางการ พวกเราได้แต่นั่งเงียบ ท่ามกลางเสียงกรมประชาสัมพันธ์รายงานข่าวต่อไปในห้องอันกว้างใหญ่

ในที่สุดมีแต่เสียงพวกเราร้องไห้เบาๆ

ณ เวลานั้น พวกเราไม่รู้จะทำอะไร ได้แต่กอดและปลอบใจกันซึ่งกันและกัน เป็นที่พึ่งให้กัน โดยที่ไม่ต้องมีคำบรรยาย ต่างคนต่างนั่งในสภาพนี้นานแค่ไหน ผมไม่รู้ รู้แต่ว่าพวกเราไม่อยากทำอะไร ไม่อยากคิดอะไร และไม่อยากขยับ รู้แต่ว่าโลกของพวกเราเปลี่ยนไปแล้ว

จากนั้น ผมได้โทร.ปรึกษา 2 ทูตไทยประจำอินโดนีเซีย ทูตท่านหนึ่งเป็นทูตระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย อีกท่านหนึ่งคือทูตไทยประจำอาเซียน พอคุยกัน 3 คน ผมเสนอให้ใช้สถานทูตเป็นศูนย์รวมคนไทยที่อินโดฯ เพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ เหตุผลหลักคือ เป็นสถานที่เพื่อไม่ให้คนไทยรู้สึกว้าเหว่ ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เป็นสถานที่ให้ทุกคนรวมตัวให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะด้วยสถานการณ์และเหตุการณ์แบบนี้ ต่างคนต่างอยู่แบบโดดเดี่ยว มันไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี

ผมภูมิใจในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เป็นงานเดียวของสถานทูตที่คนล้นหลาม คนที่ไม่เคยร่วมงาน มางานนี้…ด้วยใจ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเป็นทางการ เป็นเหตุการณ์และสถานการณ์ที่ทำให้ต่างคนต่างเป็นที่พึ่งของอีกคน เพราะทุกคน ณ เวลานั้น…ต้องมีที่พึ่ง

เนื่องในโอกาสครบรอบ 8 ปี การสวรรคตของพระองค์ท่าน ในชีวิตที่เหลือของผม ผมจะไม่มีวันลืมความรู้สึกวันที่พระองค์ทรงจากพวกเราไปครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

28 ยังแจ๋ว!!!!

ผมขออนุญาตเขียนเรื่องเบาๆ อีกสักครั้งหนึ่งครับ ไม่เขียนวันนี้ผมไม่รู้จะเขียนตอนไหน และเอาเข้าจริงผมอยากพาแฟนๆ ทั้งหลายออกจากโลกข่าวดิไอคอนกรุ๊ปครับ

แค้นนี้ต้องชำระ…ขนาดนั้นเลยเหรอ?

พรุ่งนี้ครบรอบ 1 ปี เหตุการณ์สถานการณ์สู้รบ ปะทะ หรือสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาส (ครั้งล่าสุด) ถ้าย้อนเวลากลับไปปีที่แล้ว พวกเราคงจำข่าวการโจมตี

'เปิดและปิดเครื่อง'

ก่อนอื่นผมต้องขอโทษสำหรับคอลัมน์สัปดาห์ก่อนที่หายไปครับ ผมไม่ได้หายไปไหน และผมไม่ได้ไปไหน ผมพร้อมและตั้งใจเขียนคอลัมน์ปกติ แต่เมื่อเริ่มเขียน

'…It is what it is…'

ผมบอกเลยว่า ผมรู้สึกห่างเหินกับแฟนคอลัมน์เป็นเวลาเกือบ 3 อาทิตย์เต็มครับ เหตุผลเพราะระยะเวลา 3 คอลัมน์เต็มๆ (คือ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา)