เสียงแตกแจกหมื่นช่วยกระตุ้นศก.?!?

รัฐบาลได้ประมาณการว่า การโอนเงิน 10,000 บาทผ่านโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการกว่า 14.55 ล้านราย วงเงินกว่า 1.45 แสนล้านบาทนั้น จะเป็นอีกเครื่องยนต์ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการใช้จ่าย ทำให้ระบบเศรษฐกิจมีความคึกคักมากขึ้น พร้อมทั้งประเมินว่าโครงการดังกล่าวจะมีส่วนช่วยให้ตัวเลขเศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวอีกราว 0.35%

ก่อนหน้านี้ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง ได้ระบุว่า ตัวเลข 0.35% นี้เป็นผลที่คาดว่าจะเกิดกับเศรษฐกิจเป็นอย่างน้อย และตัวเลขไม่ได้จบเท่านี้ แต่จะมีแรงส่งที่สะท้อนไปถึงเศรษฐกิจในระยะถัดไปด้วย ยิ่งหากรัฐบาลสามารถบริหารจัดการเงินส่วนที่เหลือได้เร็ว มีการเติมเงินเข้าไปอีกเป็นระลอก ก็จะยิ่งทำให้เกิดแรงหนุนเศรษฐกิจเสริมซึ่งกันและกัน

ขณะที่ภาคเอกชนอย่าง สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่มองว่ากลุ่มเปราะบางที่เป็นเป้าหมายของโครงการแจกเงิน 10,000 บาทนั้น เมื่อได้เงินแล้วจะใช้จ่ายทันที และจะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างน้อย 2 รอบ มีส่วนช่วยกระตุ้นจีดีพีในช่วงไตรมาส 4/2567 ให้เติบโตได้ราว 3.5-4% ขณะที่ภาพรวมจะช่วยกระตุ้นจีดีพีของทั้งปี 2567 ให้เพิ่มขึ้นอีก 0.2-0.3% เป็น 2.7-2.8% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวราว 2.5%

อย่างไรก็ดี บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผ่านเครื่องมือ DXT360 เพื่อฟังเสียงในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Listening) ในช่วงวันที่ 25 ก.ย.-1 ต.ค.2567 ถึงประเด็นเกี่ยวกับ “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ” พบว่ามีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างคึกคักในโลกออนไลน์ โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย ทั้งการวิจารณ์ตัวนโยบาย และการแบ่งปันไอเดียการใช้เงินที่ได้รับว่าจะนำเงินไปใช้จ่ายกับอะไรบ้าง? สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่แตกต่างของประชาชนที่มีต่อมาตรการนี้

ทั้งนี้ จากข้อมูลที่รวบรวมได้ในโซเชียลมีเดีย พบว่าประชาชนส่วนใหญ่วางแผนจะนำเงินไปใช้จ่ายค่อนข้างหลากหลาย โดยส่วนใหญ่จะนำเงินไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมากที่สุด รองลงมาคือนำเงินที่ได้รับไปชำระหนี้ การต่อยอดลงทุน โดยเฉพาะการซื้ออุปกรณ์ที่สามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม และอื่นๆ โดยสามารถแบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายได้ดังนี้ 1.สินค้าอุปโภคบริโภค 47.8% 2.ชำระหนี้สิน 17.4% 3.ลงทุน 9.6% 4.เงินสำหรับการรักษาและซ่อมบำรุง 8.7% และ 5.อื่นๆ 16.5% เช่น ชำระค่าสาธารณูปโภค ทำบุญ/บริจาค หรือใช้จ่ายเพื่อการศึกษา เป็นต้น

ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายนี้มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังและข้อกังวลที่มีต่อผลกระทบในระยะยาว โดยสามารถแบ่งความคิดเห็นออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบาย 51.8% โดยแสดงความกังวลเรื่องภาระหนี้สาธารณะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลัง เนื่องจากเป็นการใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดผลิตภาพในระยะยาว อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและภาระทางการคลังแก่คนรุ่นต่อไป, เห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน และอาจสร้างวัฒนธรรมการพึ่งพารัฐบาลมากเกินไป ทำให้ประชาชนขาดแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองและพึ่งพาตนเอง, วิพากษ์วิจารณ์การใช้จ่ายเงินอย่างไม่เหมาะสมของผู้ได้รับ เช่น เล่นการพนัน ซื้อของฟุ่มเฟือย เป็นต้น

ส่วนกลุ่มที่เห็นด้วยกับนโยบาย 33.2% มองว่าเป็นการช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนจริงๆ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตได้, เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบ เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่เป็นกลาง 15% เข้าใจความจำเป็นในการช่วยเหลือผู้เดือดร้อน แต่เสนอให้มีการปรับปรุงระบบการคัดกรองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ความช่วยเหลือถึงมือผู้ที่ต้องการจริงๆ และลดความไม่เป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากร เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความคิดเห็นต่อนโยบายนี้จะแตกต่างกัน แต่ยังมีประชาชนจำนวนมากที่รอคอยและหวังจะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ และประชาชนยังให้ความสนใจเรื่องความโปร่งใสในการดำเนินนโยบาย การเปิดเผยข้อมูลผลการดำเนินนโยบายอย่างชัดเจน และการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงและพัฒนานโยบายให้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง และส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม.

 

ครองขวัญ รอดหมวน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รวยง่าย รวยเร็ว ไม่มี

บ้านเมืองเราทุกวันนี้ ผู้คนกำลังหลงผิดกับการทำงานง่ายๆ แล้วรวยเร็ว เพราะในความเป็นจริงการที่จะรวยได้จะต้องใช้ความวิริยะ อุตสาหะ มากกว่าคนปกติหลายเท่า

ไม่ปรับตัวก็ตกขบวน

เดินขบวนอย่างเต็มกำลัง สำหรับการปรับโครงสร้างของธุรกิจไทยให้กลายเป็นธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม หรือที่เรียกว่าธุรกิจสีเขียว โดยมีเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนที่สร้างปัญหาโลกร้อนลง

ตื่นล้อมคอก

กรณีเหตุรถบัสนักเรียนไฟไหม้ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 12.08 น. โดยรถที่เกิดเหตุเป็นรถโดยสารไม่ประจำทาง (รถ 30) หมายเลขทะเบียน 30-0423 สิงห์บุรี (รถโดยสารชั้นเดียว ปรับอากาศ)

เปิดเมืองฮิตสายกินทั่วเอเชีย

บางครั้งเหตุผลหลักในการไปเที่ยวของหลายๆ คนไม่ใช่การเดินดูสถานที่ท่องเที่ยวหรือทำกิจกรรมต่างๆ แต่คือการดื่มด่ำกับหลากหลายอาหารอร่อยในประเทศนั้น จากข้อมูลการสำรวจที่อโกด้าจัดทำขึ้น มากกว่า 64%

ตั้งความหวังมาตรการฯ รัฐช่วย

แม้ความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อแผนการซื้อบ้าน/คอนโดฯ ของคนรุ่นใหม่ แต่ความต้องการซื้อนั้นยังคงมีอยู่ โดยกลุ่มมิลเลนเนียล (Millennials) และ Gen Z จากผลการสำรวจของ

บาทแข็งลามกระทบเศรษฐกิจ

‘แบงก์ชาติ’ ออกมายอมรับเองตรงๆ ว่า ตอนนี้ค่าเงินบาทของไทยปรับแข็งค่าเร็วอยู่ในกลุ่มนำของทุกสกุลเงินภูมิภาค และช่วงที่ผ่านมามีการผันผวนอย่างมาก จากที่อ่อนค่าที่ 36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขยับมาอยู่ที่ 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐในเวลาอันรวดเร็ว