
กรณีเหตุรถบัสนักเรียนไฟไหม้ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 12.08 น. โดยรถที่เกิดเหตุเป็นรถโดยสารไม่ประจำทาง (รถ 30) หมายเลขทะเบียน 30-0423 สิงห์บุรี (รถโดยสารชั้นเดียว ปรับอากาศ) บรรทุกเด็กนักเรียนและครูจำนวน 45 ราย เดินทางออกจากจังหวัดอุทัยธานี เมื่อถึงจุดเกิดเหตุบริเวณถนนวิภาวดีรังสิต หน้าเซียร์ รังสิต รถคันดังกล่าวได้เกิดเสียหลักไปเฉี่ยวชนกับรถเก๋ง และไถลเบียดกับแบริเออร์ที่อยู่กลางเกาะถนนวิภาวดี จากนั้นจึงเกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรงเสียหายทั้งคัน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 23 ราย บาดเจ็บ 3 ราย
อุบัติเหตุดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจต่อคนทั้งประเทศ ได้เกิดคำถามมากมายถึงมาตรฐานความปลอดภัยของการใช้บริการขนส่งสาธารณะ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างลงพื้นที่ตรวจสอบถึงต้นตอของอุบัติเหตุในครั้งนี้
เพื่อสกัดกั้นไม่ได้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม เนื่องจากเป็นโศกนาฏกรรมโดยรถโดยสารสาธารณะที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตค่อนข้างเยอะ แน่นอนว่าครั้งนี้ต้องถอนรากถอนโคนต้นตอของอุบัติเหตุเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำซาก
กรมการขนส่งทางบก ในฐานะกำกับดูแล ได้เรียกผู้ประกอบการรายดังกล่าวให้นำรถที่อยู่ในความครอบครองและเครือข่ายจำนวน 5 คันเข้ามาตรวจสภาพรถทั้งหมด ณ สำนักงานขนส่งลพบุรี แต่ผู้ประกอบการรายดังกล่าวกลับมีพฤติกรรมบ่ายเบี่ยงและไม่ยอมนำรถเข้ารับการตรวจสภาพรถตามคำสั่งโดยเร็ว กรมการขนส่งทางบกจึงได้ตรวจสอบพิกัด GPS พบว่ารถโดยสารทั้งหมดของผู้ประกอบการรายดังกล่าวและเครือข่าย อยู่ที่อู่ซ่อมรถเอกชนในจังหวัดนครราชสีมา
จึงได้สั่งการให้สำนักงานขนส่งจังหวัดนครราชสีมาลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่ารถโดยสารทั้ง 5 คันดังกล่าวอยู่ระหว่างการถอดถังแก๊สที่ติดตั้งเกินจากที่แจ้งจดทะเบียนไว้ออกจากรถ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาที่จะปกปิดความผิดจากการดัดแปลงรถโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจส่งผลให้เกิดความไม่ปลอดภัยในการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดัดแปลงระบบก๊าซ
ซึ่งส่งผลให้รถโดยสารมีน้ำหนักเกินสมรรถนะ อีกทั้งมีความเสี่ยงอาจเกิดการรั่วไหลของก๊าซจากการติดตั้งระบบก๊าซที่ไม่ถูกต้อง และไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจากวิศวกรหรือหน่วยงานที่กรมการขนส่งทางบกรับรอง ทั้งนี้กรมการขนส่งทางบกได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเพื่อรวบรวมส่งพนักงานสอบสวนในการดำเนินคดีต่อไป ขณะเดียวกัน กรมการขนส่งทางบกจะเรียกรถโดยสารสาธารณะทั้งประจำทางและไม่ประจำทาง ที่ใช้เชื้อเพลิง CNG ทั้งหมดจำนวน 13,426 คัน เข้ารับการตรวจสภาพรถอย่างเข้มข้นภายใน 2 เดือน
เพื่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการรถสาธารณะ ขณะที่บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้เน้นย้ำด้านความปลอดภัยสูงสุดของรถโดยสาร บขส.ทุกคัน ให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย ปัจจุบัน บขส.มีรถโดยสารประจำทาง และรถโดยสารไม่ประจำทาง (รถทะเบียน 30) จำนวนรวมทั้งหมด 254 คัน ที่ต้องผ่านการตรวจสภาพรถจากกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ทุก 6 เดือน หรือปีละ 2 ครั้ง รวมทั้งยังมีทีมช่างซ่อมบำรุงของ บขส.ที่มีประสบการณ์ในการทำงาน ซึ่งจะคอยทำหน้าที่บำรุงรักษารถโดยสาร และตรวจสอบอุปกรณ์ส่วนควบภายในรถโดยสารเป็นประจำ เพื่อให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานก่อนให้บริการผู้โดยสารทุกครั้ง
นอกจากนี้ได้กำชับให้พนักงานขับรถ และพนักงานต้อนรับเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารสูงสุด โดยพนักงานต้อนรับจะแนะนำผู้โดยสารให้ทราบข้อมูลด้านความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น การแจ้งให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่งก่อนออกเดินทาง, วิธีการใช้ประตูทางออกฉุกเฉิน, ถังดับเพลิง และ การใช้ค้อนทุบกระจก หากมีเหตุฉุกเฉิน
รวมทั้งตรวจความพร้อมของพนักงานประจำรถ กรณีที่มีระยะทางเกิน 400 กิโลเมตร จัดให้มีพนักงานขับรถ 2 คน เพื่อเปลี่ยนกันขับ, มีการตรวจสุขภาพประจำปี, ผ่านการอบรมเพิ่มทักษะความปลอดภัยการขับขี่และการให้บริการ เพื่อสร้างความเข้าใจในงานบริการ เสริมสร้างทัศนคติ และสร้างจิตสำนึกที่ดีในการให้บริการลูกค้า รวมทั้งยกระดับมาตรฐานการให้บริการเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการ
นอกจากนี้แล้ว บขส.ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้โดยสาร อีกทั้งมาตรการดังกล่าวจะช่วยสร้างความปลอดภัยและความมั่นใจให้ผู้โดยสารที่ใช้บริการในการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ และเป็นไปตาม “บขส. ยืนหนึ่งเรื่องความปลอดภัย”.
กัลยา ยืนยง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ผนึกพลังพัฒนากำลังคน
ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก เทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว และการแข่งขันด้านต้นทุนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คำถามสำคัญของอุตสาหกรรมไทยไม่ใช่เพียง “จะผลิตอย่างไรให้ได้มากขึ้น” แต่คือ “จะสร้างคนและองค์ความรู้แบบใดให้ยืนระยะในเวทีสากลได้จริง”
ปีใหม่เป้าลดอุบัติเหตุ 5%
ช่วงเทศกาลปีใหม่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ประชาชนจำนวนมากออกเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยว ส่งผลให้ปริมาณการใช้รถใช้ถนนเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว และมักตามมาด้วยความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุทางถนน
เมื่อสุขภาพคือความลักชัวรีแบบใหม่
ในยุคที่ผู้คนต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ ทำให้เทรนด์นี้ยังคงมาแรงต่อเนื่อง ซึ่งก็มีข้อมูลที่น่าสนใจจากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กับข้อมูลสุดอินไซต์ “ภูมิทัศน์การดูแลสุขภาพของคนไทย” รับเทรนด์เศรษฐกิจอายุยืน
องค์กรต้องกล้าเปลี่ยนผ่าน
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและแรงกดดันด้านความยั่งยืนที่เข้มข้นขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวรองรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่ง สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
แรงงานคืนถิ่น:ทางเลือกที่เป็นโอกาส
‘การเคลื่อนย้ายแรงงาน’ จากภูมิลำเนาเข้าสู่จังหวัดเศรษฐกิจเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานตอนต้น ซึ่งเป็นกำลังแรงงานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา อย่างไรก็ตาม
ดันไทย-ญี่ปุ่นปักธงอุตสาหกรรม
ในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และเป้าหมายด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ความสามารถของประเทศในการปรับตัวและสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมไปสู่ยุคใหม่ที่เน้นมูลค่าสูงและมาตรฐานที่เข้มงวด

