วิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้สร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยมากมายหลายเรื่อง
หนึ่งในปรากฏการณ์ที่สำคัญและควรจะเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือ การที่ผู้คนย้ายกลับไปต่างจังหวัดกันเป็นจำนวนมาก
และสำหรับคนจำนวนไม่น้อยมันคือการอพยพที่กลับไปตั้งถิ่นฐานที่บ้านเดิม ไม่กลับมาในเมืองอีก
เพราะโควิดทำให้เกิดความตระหนักว่าจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมอ่านเจอข่าวที่ คุณวิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แสดงความเห็นและมีข้อเสนอเรื่องนี้
ตรงกับที่ผมสังเกตได้จากการเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยครั้งในช่วงหลังนี้
คุณวิรไทบอกว่า วิกฤตโรคระบาดโควิดคราวนี้ได้ผลักแรงงานเคลื่อนย้ายกลับชนบทหลายล้านคนครั้งแรกในรอบ 20 ปี
ท่านแนะนำให้ผู้บริหารประเทศเอาจริงเอาจังกับการกระจายอำนาจกลับไปสู่ท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนเพิ่มศักยภาพของการสร้างชีวิตใหม่ของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ
คุณวิรไทพูดในฐานะกรรมการมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริในงานเสวนาออนไลน์ “อยู่รอด และยั่งยืน หลังโควิด” ภายใต้หัวข้อ “ใครจะอยู่รอดในสังคม แล้วจะอยู่รอดอย่างไรที่ยั่งยืน” ร่วมกับ นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ ที่ปรึกษาสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ ว่า
อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติบอกว่า เหตุการณ์เช่นนี้ตรงกันข้ามกับช่วงที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี พ.ศ.2540
เพราะครั้งนั้นเกิดการย้ายถิ่นของแรงงานจากชนบทเข้าเมืองจำนวนมาก ผลที่ตามมาคือภาคชนบทอ่อนแอลง เพราะผู้คนทิ้งบ้านช่องเข้ากรุง
และเพราะกระแสช่วงนั้นทำให้เหลือเพียงแรงงานผู้สูงอายุและเด็ก
ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรมีคุณภาพต่ำ เกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูงระหว่างเมืองหลักและเมืองรอง
คุณวิรไทให้ความเห็นว่า ประเทศไทยควรจะหาทางสนับสนุนให้แรงงานที่เคลื่อนย้ายกลับสู่ชนบทจากผลกระทบของวิกฤตโควิดในครั้งนี้ ให้สามารถคงอยู่ในชนบทได้อย่างเป็นสุขและยั่งยืน เพราะแรงงานที่กลับไปเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ มีศักยภาพ และรู้จักใช้เทคโนโลยี
สิ่งที่ผมพบเห็นเองในชนบทในช่วงการระบาดของโควิดคือ คนรุ่นใหม่อพยพจากเมืองกลับไปต่างจังหวัด และเริ่มสร้างอาชีพด้วยการใช้เทคโนโลยีอย่างคล่องแคล่ว
คุณวิรไทบอกว่า “ประเทศไทยสามารถสร้างความเข้มแข็งให้ชนบทได้ด้วยการให้ความสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่น โดยการสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาครัฐในส่วนท้องถิ่นในการทำงานพัฒนา โดยคำนึงถึงบริบทในเชิงพื้นที่ และควรเป็นการพัฒนาทั้งภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมควบคู่กันไปอย่างเกื้อหนุนกัน”
ท่านบอกว่ารัฐ ท้องถิ่น ภาคประชาสังคม เช่น มูลนิธิปิดทองหลังพระควรร่วมกันทำงานเพื่อสนับสนุนให้แรงงานที่กลับไปยังชนบทเป็น change agent หรือ “ผู้ขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง” ที่จะช่วยสร้างโอกาสและความเข้มแข็งให้ประเทศได้ในอนาคต
นอกจากนี้ยังควรสนับสนุนให้มีการศึกษาที่เหมาะสมในภาวะวิกฤตและในอนาคต เพราะประชาชนต้องการ reskill และ upskill ให้สอดคล้องกับบริบทของโลกใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
“รัฐควรช่วยอำนวยให้ประชาชนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้ตลอดเวลาและตลอดชีวิต” คุณวิรไทกล่าว
และย้ำว่า ประชาชนไทยควรเปลี่ยนหลักคิด หรือ mindset จากความคิดพึ่งพาภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว มาเป็นการพึ่งตนเองได้ในระยะยาว
เช่น การเยียวยาจากภาครัฐในวิกฤตโควิดเป็นสิ่งสำคัญในช่วงแรกๆ
ทว่าอาจจะไม่สามารถทำได้อย่างเหมาะสมเมื่อวิกฤตนี้ผ่านมาถึง 2 ปีแล้ว
“รัฐสามารถสนับสนุนให้ประชาชนเริ่มพึ่งตนเองได้ด้วยการเน้นการกระจายอำนาจ และให้อำนาจในการตัดสินใจไปอยู่ในมือของท้องถิ่นประชาชนเองมากขึ้น”
คุณวิรไทบอกว่า จากการที่ตนทำงานร่วมกับมูลนิธิปิดทองหลังพระได้เห็นอย่างชัดเจนว่าพื้นที่ใดที่ประชาชนมีความเข้มแข็งก็จะเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการพัฒนา และหากได้รับการสนับสนุนที่ตรงจุด ตรงตามความต้องการของพื้นที่ โดยเฉพาะจากภาครัฐในระดับท้องถิ่น ก็จะทำให้การพัฒนานั้นสำเร็จลุล่วง
คุณวิรไทบอกว่า ประเทศไทยสามารถผ่านวิกฤตต่างๆ มาได้ในอดีตจากการน้อมนำแนวพระราชดำริเรื่องความพอเพียงที่มีหลักสำคัญ 3 ประการ ได้แก่
ประการแรก ความพอประมาณ ความสมเหตุสมผล การมีภูมิคุ้มกัน
ประการที่สอง การตั้งอยู่บนฐานของคุณธรรม มีความอดทน มีวิริยะอุตสาหะ ซื่อสัตย์
และประการที่สาม การมีความรู้
“วิกฤตโควิดในครั้งนี้ทำให้ประชาชนไทยเห็นอย่างชัดเจนมากขึ้นถึงความสำคัญของการสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อให้อยู่รอดท่ามกลางโลกใหม่ที่มีความผันผวนสูง”
ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอของคุณวิรไทอย่างยิ่ง หวังว่าจะมีการผลักดันจากทุกภาคส่วนกันอย่างจริงจัง
เพราะจุดเปลี่ยนผันที่สำคัญครั้งนี้อาจจะหมายถึงไทยเราไม่เพียงแต่ “รอด” หลังโควิดเท่านั้น แต่ยังต้อง “รุ่ง” อย่างยั่งยืนด้วย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ