ยอมรับสภาพความเป็นจริง ก่อนจะรู้เขารู้เรา

ถึงแม้จะผ่านมาหลายอาทิตย์ การดีเบตระหว่าง Kamala Harris กับ Donald Trump ก็ตาม มันยังมีควันหลงที่ยังเป็นประเด็นทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ครับ

ไม่รู้ใครจะคิดเหมือนผมหรือไม่ แต่ผมมีความเห็นว่า Harris ชนะการดีเบตครั้งนั้น เพราะไม่ได้คาดหวังอะไรกับ Trump ไม่ใช่เพราะดูถูกเขา หรือไม่เชื่อมั่นในตัวเขา (เขาหมายถึง Trump) เพียงแต่ Trump อ้าปากปุ๊บ คนรู้ว่าเขาจะพูดอะไร และพูดแบบไหน เลยไม่ตื่นเต้นและไม่ตื่นตัว

แต่ Harris ถ้าเอาเข้าจริง เป็นหน้าใหม่ ถือว่าเป็น Unknown พอสมควร คนไม่รู้จะคาดหวังอะไรกับเขา คนไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร แล้วคนไม่รู้เมื่อเป็นผู้นำเองจะเป็นเช่นไร การดีเบตในครั้งนั้นอยู่ในมือของ Harris 

ว่าจะรุ่งหรือจะร่วง ซึ่งสำหรับผม เขารุ่งครับ แต่รุ่งจะทำให้เขาชนะการเลือกตั้งได้หรือไม่ อย่างน้อยทำให้มันสูสีขึ้นมา เพราะช่วงที่ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตยังเป็น Joe Biden อยู่ ผมบอกเลยว่า Trump เตรียมตัวเป็นประธานาธิบดีได้เลย ถ้าเป็นบริบทบ้านเรา สำหรับใครที่ชนะการเลือกตั้งแน่ๆ มักมีคนพูดว่า “เตรียมตัดชุดขาวได้เลย”

แต่ประเด็นที่คนจะจำจากการดีเบตครั้งนั้นคือ…. ผู้อพยพกินหมาชาวบ้าน…ในรัฐโอไฮโอ

คนมีสติปัญญาและคนปกติคงจะแยกแยะออกว่า อะไรคือจริง และอะไรคือไม่จริง ในเรื่องผู้อพยพกินหมาชาวบ้าน ทั้งนายกเทศมนตรีเมืองนั้นๆ (Springfield) และผู้ว่าการรัฐ ออกมาปฏิเสธข่าวเรื่องนี้ และบอกว่าไม่มีมูลความเป็นจริงแม้แต่นิดเดียว แต่ทางผู้สนับสนุน Trump ไม่ฟังและยังเชื่อคำพูดของ Trump ต่อ

เลยเป็นสิ่งที่ง่ายที่จะดูถูกผู้สนับสนุน Trump ว่าไร้สติปัญญา ไม่รู้เรื่อง ไม่ค่อยมีการศึกษา ใช่ไหมครับ?

แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทุกคนที่สนับสนุน Trump ไม่ได้เป็นเช่นนั้น จริงอยู่มีพวกไร้สติปัญญา ไม่รู้เรื่อง และไม่ค่อยมีการศึกษา แต่คนที่สนับสนุน Harris ก็มีกลุ่มเหล่านี้เช่นเดียวกัน จากทุกคนที่ไร้สติปัญญา ไม่รู้เรื่อง และไม่ค่อยมีการศึกษานั้น ยังมีผู้มีสติปัญญา รู้เรื่อง และมีการศึกษาเท่าตัวที่สนับสนุน Trump

มันง่ายเหลือเกินที่คนเราจะวาดภาพฝ่ายที่มีความเชื่อต่างกับเราว่า “บ้า” และ “โง่” แต่รู้ไหมว่า คนที่มีความคิดตรงข้ามกับเรา คิดว่าเรา “บ้า” และ “โง่” ไม่ต่างกัน ทาง CNN เคยมีสารคดีสั้นๆ ชื่อว่า “MisinfoNation: the Trump Faithful” ออกอากาศเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้ดูทั้งหมด แต่ผมอ่านบทความสรุปซึ่งน่าสนใจมากครับ

แน่นอนว่า CNN ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของ Trump ดังนั้นในการทำสารคดีเกี่ยวกับแฟนพันธุ์แท้ของเขา ถ้าเห็นแต่ชื่อเรื่อง คนคงคิดว่า CNN จะดูถูกและล้อเล่นกับความรักใคร่ของแฟนพันธุ์แท้ Trump ที่มีต่อ Trump มันง่ายที่จะทำ แล้วถ้าจะว่าไปแล้ว มันสนุกที่จะดู

แต่สารคดีครั้งนี้มีจุดประสงค์อื่น เขาไม่ได้มาเพื่อดูถูกหรือล้อเลียนผู้สนับสนุนของ Trump เขาอยากเข้าใจ เขาอยากเรียนรู้ว่าทำไมคนอเมริกันจำนวนไม่น้อยเชื่อมั่นและเชื่อใจ Trump ทั้งๆ ที่ Trump พูดแต่สิ่งแปลกๆ ในแต่ละวัน อย่างที่บอกครับ ถ้าคิดสร้างสารคดีล้อเลียนหรือดูถูกพวกเขา มันทำไม่ยาก ยกกองถ่ายไปถ่ายที่ชนบทที่ไหนก็ได้ เอากลุ่มคนที่ดู “บ้านนอก” ที่สุด และมาสัมภาษณ์เขา แค่นี้งานก็จบ และ CNN กับกลุ่มผู้สนับสนุนสามารถนั่งหัวเราะเยาะเย้ย “ไอ้พวกหน้าโง่ที่ไม่รู้เรื่อง”

แต่ปรากฏว่า สารคดีนี้ไม่ได้ทำเช่นนั้น Donnie O’ Sullivan (ผู้กำกับสารคดีนี้) มีวัตถุประสงค์อยากเข้าใจกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ Trump โดยที่เน้น “คนปกติ” “คนมีสติปัญญา” “คนมีการศึกษา” “คนรู้เรื่อง” เพื่อให้เห็นว่าคนที่มีความคิดต่างจากเรา มีความเข้าใจ มีวิถีชีวิต และมีฐานะ ไม่ต่างกับพวกเราเท่าไหร่ครับ คนที่เรากล่าวหาว่า “โง่” กับ “บ้า” นั้น ถ้าเอาความเชื่อทางการเมืองออก ก็กลายเป็นคนที่เราคบอยู่ดี เป็นเพื่อนพวกเรา เป็นญาติพวกเรา แล้วถ้าว่ากันตรงๆ ก็คือเราเหมือนกัน เพียงแต่มีความคิดเห็นต่างกัน

Sullivan ไปสัมภาษณ์เจ้าของ SME ที่ไม่ใช่ขวาจัด ไม่ใช่คนไม่มีการศึกษา ไม่ใช่คนเพี้ยน เป็นคนธรรมดาทั่วไปที่บังเอิญเชื่อสิ่งที่ Trump พูด ในฐานะที่เราไม่เชื่อสิ่งที่ Trump พูดนั้น เรามีสิทธิ์จะบอกว่าเขาบ้าเหรอ? อะไรจะชี้ชัดว่าเขาบ้า? ความตั้งใจของ Sullivan คือไม่พยายามเปลี่ยนใจผู้สนับสนุน Trump หรือดูถูกเขาแม้แต่นิดเดียว แต่พยายามทำในสิ่งที่ทำยากที่สุดในยุคสมัยนี้ คือฟังและพยายามเข้าใจเขา

ถือว่าเป็นสารคดีที่น่าสนใจ ซึ่งบางคนอาจจะมองว่า “โลกสวยไปหน่อย” ก็ได้ แต่ผมมีความรู้สึกว่าเจตนาของเขาเป็นสิ่งที่สังคมต้องการ เพราะอย่าว่าแต่ที่อเมริกาที่แบ่งแยกสังคมในอุดมการณ์ทางการเมือง บ้านเราก็ไม่ต่าง

ตอนที่ผมพูดถึงผู้สนับสนุนของ Trump ผมเชื่อว่าแฟนคอลัมน์หลายท่านคงมีภาพขึ้นมาในใจว่ากลุ่มสนับสนุนหน้าตาเป็นเช่นไร แต่ในสารคดีนี้มีทั้งเจ้าของ SME ครูบาอาจารย์ คนที่อยู่เมืองใหญ่ และคนอื่นๆ ที่เรามักจะคิดว่าเป็นกลุ่มไม่สนับสนุน Trump พอกลายเป็นกลุ่มคนที่หน้าตา การแต่งตัว การพูดจา และวิถีชีวิต ไม่ต่างกับพวก “เรา” นั้น มันทำให้หยุดชะงัก และอยากรู้ว่าทำไมเขาเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ? ทำไมเขาเทใจให้กับ Trump ขนาดนั้น? เขาถูกล้างสมอง? เขาตามโลกไม่ทัน? ก็ไม่น่าจะใช่ครับ เพราะถ้าคนเหล่านี้ตกหลุมได้ง่ายดายขนาดนั้น…. แล้วพวกเราล่ะ?

สำหรับบ้านเรา เรามักจะต่อว่าคนที่มีความคิดตรงข้ามทางการเมืองกับเราว่า “โง่เหมือนควาย” “ไม่มีสมอง” “ไม่รู้เรื่อง” เพราะเขาเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ แต่พวกเราเคยมองตัวเองบ้างไหมครับ? “คนดี” “รัฐธรรมนูญปราบคนโกง”

ถ้าฝ่ายที่ไม่ใส่เสื้อสีเดียวกับเรา (ในทางการเมือง) “โง่” “ไม่มีสมอง” “ไม่รู้เรื่อง” พวกเราแตกต่างอะไรกับเขาครับ? เขาเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ และเราเชื่อในสิ่งที่เราเชื่อ ใครผิดใครถูก? มันต้องมีด้วยเหรอ ฝ่ายที่ผิดกับฝ่ายที่ถูก? ผมอาจจะเป็นพวกโลกสวยก็ได้ แต่ผมว่าก่อนจะด่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้น….โปรดมองตัวเองก่อน

ถ้าเรากล่าวหาว่าเขาถูกล้างสมอง (ด้วยวิธีอะไรก็แล้วแต่) พวกเราก็ถูกล้างสมองเหมือนกัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เปิดและปิดเครื่อง'

ก่อนอื่นผมต้องขอโทษสำหรับคอลัมน์สัปดาห์ก่อนที่หายไปครับ ผมไม่ได้หายไปไหน และผมไม่ได้ไปไหน ผมพร้อมและตั้งใจเขียนคอลัมน์ปกติ แต่เมื่อเริ่มเขียน

'…It is what it is…'

ผมบอกเลยว่า ผมรู้สึกห่างเหินกับแฟนคอลัมน์เป็นเวลาเกือบ 3 อาทิตย์เต็มครับ เหตุผลเพราะระยะเวลา 3 คอลัมน์เต็มๆ (คือ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา)

'Hey…Google!!!' (ต่อ)

ก่อนอื่นผมขออธิบายว่า ทำไมผมตั้งชื่อเรื่องวันนี้และอาทิตย์ที่แล้วว่า “Hey…Google!!!”

“Hey…Google!!!!” (ตอน 1)

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ในสหรัฐอเมริกา มีการตัดสินคดียักษ์ใหญ่ ที่จะมีผลกระทบและเขย่าโลก ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่แน่ครับ ดีไม่ดีอาจเป็นชิ้นโบแดงของ Joe Biden ก็ได้

Imane Khelif นักกีฬาหญิงใจสู้

เมื่อสัปดาห์ก่อนผมบอกว่า ผมจะเขียนเรื่องราวของ Google ทั้งที่มาที่ไปของคดี และผลการตัดสินเมื่อเร็วๆ นี้ เพราะผมยังอยู่ในกระแสโอลิมปิก