“ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน” เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต เพราะเกี่ยวเนื่องกับการดูแลสุขภาพและการรักษาชีวิตผู้คน อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูง ซึ่งนอกจากจะสะท้อนจากตัวเลขรายได้ของธุรกิจที่มีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาทแล้ว ยังมีเครื่องชี้สำคัญคือ สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพโดยภาคเอกชน (Private Health Expenditure) มากกว่า 50% เกิดขึ้นในโรงพยาบาล แม้ผลบวกจากโควิด-19 จะทยอยหมดลง แต่ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพโดยภาคเอกชนในปี 2566 ยังมีมูลค่าสูงถึง 5.86 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพโดยภาคเอกชนมีมูลค่ากว่า 3.05 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ฟื้นตัวได้เร็ว หลังเผชิญภาวะวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างรุนแรง และยังมีศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคต ทั้งในด้านมูลค่าและการลงทุน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าธุรกิจจะมีแนวโน้มเติบโต แต่ก็ยังมีปัจจัยท้าทายอีกหลายประการ ทั้งจากปัญหาด้านกำลังซื้อในประเทศ ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการฟื้นตัวของคนไข้ต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ที่อาจจะต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากการที่ช่วงชิงการเป็นผู้นำด้าน Medical Hub ของหลายประเทศ ขณะที่ต้นทุนการดำเนินงานที่สูง ทั้งจากอัตราดอกเบี้ย ค่าไฟฟ้า รวมไปถึงต้นทุนในการปรับปรุงทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและการดำเนินงานให้เป็นไปตามหลัก ESG ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ
โดย ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ได้ออกบทวิเคราะห์ “Checkup ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนหลังโควิดซา” ระบุว่า คาดว่าในปี 2567 รายได้ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนจะขยายตัว 8-12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่องที่ 6-10% ในปี 2568 โดยธุรกิจยังมีปัจจัยสนับสนุนที่แข็งแกร่งตามโครงสร้างพื้นฐานเดิม ขณะที่การพัฒนาด้านการแพทย์สมัยใหม่จะทำให้เกิดการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจได้ และยังมีปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากการฟื้นตัวเต็มที่ของ Medical Tourism
ทั้งนี้ ประเมินว่าในปี 2567-2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น 36.5 ล้านคน และ 40 ล้านคน ตามลำดับ โดยกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนไข้ชาวต่างชาติจากอาเซียน จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง จะยังคงกลับมาใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนในไทย เนื่องจากเชื่อมั่นในคุณภาพการรักษา ค่ารักษาพยาบาลและค่าครองชีพไม่สูงมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน
“หลังโควิด-19 ซาลง การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทำให้การจ้างงานฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่การเดินทางระหว่างประเทศไม่มีข้อจำกัดอีกต่อไป ส่งผลให้คนไข้ต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามารับบริการทางการแพทย์ได้สะดวกขึ้น โดยคนไข้ต่างชาติที่เข้ามารับบริการในไทยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ คนไข้ต่างชาติที่ทำงานในไทย (EXPAT) และคนไข้ที่เดินทางจากต่างประเทศเข้ามารับการรักษา (Fly-in) หรือกลุ่ม Medical Tourism ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในระยะ 1-2 ปีนี้ รายได้จากคนไข้ต่างชาติของโรงพยาบาลเอกชน โดยเฉพาะกลุ่ม Medical Tourism ยังมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากกลุ่มลูกค้าชาวอาเซียน จีน รัสเซีย และตะวันออกกลาง ที่จะยังคงกลับมาใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนในไทย เนื่องจากเชื่อมั่นในคุณภาพการรักษา ค่ารักษาพยาบาล และค่าครองชีพไม่สูงมาก
อย่างไรก็ดี ยังมี 3 ปัจจัยที่ท้าทายธุรกิจ และประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1.การแข่งขันสูง ธุรกิจมีการแข่งขันสูงจากผู้ประกอบการในประเทศทั้งรายเดิมและรายใหม่ และการแข่งขันจากการช่วงชิงการเป็น Medical Hub ของภูมิภาค 2.ต้นทุนที่ยังยืนสูง โดยการบริหารจัดการภายใต้ภาวะต้นทุนที่ยังยืนสูง ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้าและต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอดีต อาจจะกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ และ 3.เทคโนโลยีและเทรนด์การแพทย์สมัยใหม่ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ถือเป็นอีกหนึ่งโจทย์ท้าทายสำหรับธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน!!.
ครองขวัญ รอดหมวน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์มุมมอง‘อินฟลูเอนเซอร์’ในตลาดอาเซียน
การตลาดอินฟลูเอนเซอร์ถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนาน แต่กลยุทธ์การทำการตลาดของแต่ละแบรนด์นั้นล้วนแตกต่างกันไป ล่าสุด วีโร่ ได้เปิดตัวเอกสารไวต์เปเปอร์ฉบับใหม่ในหัวข้อ “ผลกระทบ
ของขวัญรัฐบาล
อีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ก็จะเข้าสู่ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แล้ว ก็เป็นธรรมเนียมของรัฐบาลและ ครม.ที่จะมีมาตรการเป็นของขวัญมอบให้กับประชาชน ซึ่งการประชุม ครม.ล่าสุดเริ่มมีการเคาะมาตรการต่างๆ ออกมาช่วยเหลือประชาชนกันแล้ว
ยกระดับธุรกิจไทยแข่งขันเวทีโลก
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ EXIM BANK คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3% ด้วยแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐ
ปี68ธุรกิจบริการอาหารยังโตต่อเนื่อง!
“ธุรกิจบริการอาหาร” ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจับตาในปี 2568 จากอานิสงส์ท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งส่งผลให้การบริโภคอาหารน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันภาครัฐยังมีการอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ดันSMEอีอีซีบุกตลาดตปท.
ที่ผ่านมารัฐบาลอาจจะยังไม่ได้พูดถึงโครงการพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี มากนัก เนื่องจากคงจะยุ่งกับการบริหารงานในแนวทางอื่นๆ อยู่ แต่กับหน่วยงานอย่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
โรงไฟฟ้าฟอสซิลต้นทุนพุ่งโตช้า
ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิลยังคงมีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าในปี 2568 ความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคธุรกิจจะโต 1% ชะลอลงจาก 2.8% ในปี 2567 จากการใช้ไฟฟ้าในภาคการผลิตและภาคบริการที่เพิ่ม