ตัวเลขคนติดเชื้อโควิด-19 ในสัปดาห์ที่ผ่านมาขึ้นสูงมากกว่า 7,000 เป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่น้อยเลย แต่เราต้องไม่ท้อในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดในรอบนี้ที่เป็นการระบาดระลอกที่ 5 แล้ว
ก่อนอื่นเราต้องมาวิเคราะห์กันก่อนว่าสาเหตุของการมีผู้ติดเชื้อสูงขนาดนี้เกิดมาจากปัจจัยอะไรได้บ้าง เมื่อเรารู้ต้นตอของปัญหาเราก็จะสามารถป้องกันและแก้ไขไม่ให้สถานการณ์แย่ไปกว่านี้ โดยยึดหลักการแก้ปัญหาของอริยสัจ 4
นั่นคือ การแพร่ระบาดที่เพิ่มสูงขึ้นคือทุกข์ สาเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดจำนวนสูงขึ้นคือเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) เมื่อรู้สาเหตุแล้วก็ต้องคิดหาแนวทางในการแก้ปัญหา (นิโรธ) และเมื่อได้แนวทางแล้ว พวกเราทุกคน ทุกฝ่าย ก็ต้องปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนด (มรรค) วิธีการดังกล่าวนี้พระพุทธเจ้าทรงเทศนาสั่งสอนเรามานานช้าแล้ว และแนวทางนี้ก็ปรากฏในตำราการจัดการสมัยใหม่ที่บอกว่า เมื่อมีปัญหาเราต้องระบุให้ได้ว่าปัญหาคืออะไร (identify problems) และจะต้องรู้สาเหตุแห่งปัญหา (causes of the problems) แล้วคิดหาทนทางในการแก้ปัญหา โดยจะต้องคิดหาให้ได้หลายๆ ทาง (alternatives of corrective actions) แล้วก็วิเคราะห์ข้อดี (pros) และข้อเสีย (cons) ของแต่ละทางเลือก เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกวิธีแก้ทางใด ก็นำไปปฏิบัติ (implementation) มาดูกันว่าสาเหตุที่จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากสาเหตุอันใด
1.น่าจะมาจากสายพันธุ์ Omicron แพร่ระบาดง่าย และไม่แสดงอาการที่รุนแรง คนที่ติดเชื้ออาจจะไม่รู้ตัว ก็ไม่ได้ระวังตัว กลายเป็นพาหะแพร่เชื้อได้
2.เกิดจากการเดินทางไปต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นการไปเยี่ยมบ้านที่เป็นภูมิลำเนา หรือไปเที่ยวในช่วงปีใหม่ จึงมีทั้งการไปแพร่เชื้อและรับเชื้อจากการเดินทางไปนอกพื้นที่อยู่อาศัย
3.เกิดจากการไปร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่มีการจัดงานช่วงปีใหม่ มีคนร่วมงานเป็นจำนวนมาก และผู้เข้าร่วมงานประมาท การ์ดตก ไม่รักษาระยะห่าง ทำให้เกิดการแพร่ระบาดเป็น cluster ได้
4.เกิดจากคนบางคนที่ประมาท การ์ดตก ไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค.กำหนด ทั้งผู้ประกอบการที่ไม่เคร่งครัด และลูกค้าที่ทำตัวสบายๆ ตามใจตัวเอง
5.เกิดจากกลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมาย ทั้งในร้านอาหารกึ่งผับบาร์คาราโอเกะ และบ่อนการพนัน ที่รวมตัวกันโดยไม่ทำตามมาตรการของ ศบค. ไม่ยึดหลัก New Normal
ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นสาเหตุทำให้ตัวเลขเพิ่มขึ้น ผลที่ตามมาก็คือ อาจจะทำให้มีการปิดพื้นที่บางจังหวัด ปิดธุรกิจบางประเภท ที่เป็นแนวทางในการแก้ไข เมื่อมีการทำเช่นนั้นก็จะส่งผลทำให้เดือดร้อนกันอีก และคงจะมีคนออกมาด่ารัฐบาลกันอีก แต่จะทำอย่างไรได้ ถ้าหากการปิดธุรกิจบางประเภท ปิดจังหวัดบางจังหวัด ห้ามการเดินทางเข้าบางพื้นที่คือแนวทางในการแก้ไข การกำหนดมาตรการที่อาจจะสร้างความเดือดร้อนและความไม่พอใจให้กับคนบางกลุ่มบางพวก ก็จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เวลาที่ ศบค.มีมาตรการให้ปิดธุรกิจบางประเภท กิจกรรมบางอย่างก็มีการโอดครวญกัน ขอให้มีการผ่อนปรน รัฐบาลและ ศบค.ก็พิจารณาอย่างถี่ถ้วน และในที่สุดก็ยอมผ่อนปรนอย่างมีเงื่อนไข แต่แล้วก็ปรากฏว่ามีหลายธุรกิจไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค.กำหนด ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการที่ยอมลูกค้า เพราะกลัวจะเสียลูกค้า และลูกค้าที่ตามใจตัวเอง ต้องการที่จะสนุกอย่างเต็มที่อย่างคนที่เห็นแก่ตัว และไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ในที่สุด ศบค.ก็ต้องแนะนำรัฐบาล ที่จะต้องมีมาตรการต่างๆ เพิ่มขึ้น
บัดนี้มีมาตรการที่ทาง ศบค.เห็นว่าน่าจะเป็นหนทางในการแก้ปัญหา จึงให้รัฐบาลประกาศมาตรการต่างๆ เหล่านั้นออกมา เพื่อให้ทุกฝ่ายนำไปปฏิบัติ
1.รัฐบาลรณรงค์เร่งรัดให้ประชาชนไปรับวัคซีนเข็มที่ 3 และรัฐบาลต้องจัดสรรวัคซีนให้เพียงพอ และต้องจัดการฉีดอย่างมีประสิทธิภาพ
2.กำหนดให้มีการ work from home กันให้มากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะหน่วยงานราชการ จะต้องพยายาม work from home ให้มากขึ้น
3.การเรียนการสอนน่าจะเป็น online มากกว่าเป็น on site แต่ถ้าจะมี on site ก็ควรจะมีการตรวจ ATK ทุกคนที่จะเข้าในสถานศึกษา
4.หลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่มีคนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และทุกคนที่เข้าร่วมจะต้องตรวจ ATK ก่อนเข้าร่วมงาน และจะต้องปฏิบัติตามมาตรการ New normal อย่างเคร่งครัด
5.งดการเดินทางเข้าบางจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดเป็น cluster เป็นจำนวนมาก ถ้าหากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปจริงๆ ก็ควรจะต้องตรวจ ATK ก่อนเข้าพื้นที่
6.จำเป็นต้องปิดธุรกิจบางอย่าง เช่น ร้านอาหารกึ่งผับบาร์คาราโอเกะ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเป็น cluster เพราะเวลานี้ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นสูงมาจากการติดเป็น cluster ในแหล่งบันเทิง
7.ต้องยืดเวลาในการให้นักท่องเที่ยวเข้ามาแบบ Test and Go ไปอีกระยะหนึ่งเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีนักท่องเที่ยวเป็นพาหะ นำเอาเชื้อ Omicron เข้ามา
8.ประกาศยกระดับการเฝ้าระวังจากระดับ 3 เป็นระดับ 4 ที่พวกเราทุกคนจะต้องปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ อย่างเคร่งครัด เพื่อระงับการแพร่ระบาดของ Omicron ให้ได้
หวังว่าสถานการณ์จะเป็นฉากทัศน์ที่ดีที่สุด (Best scenario) ที่คาดการณ์ว่าจะติดประมาณวันละไม่เกิน 11,000 และจัดการได้ภายใน 2 เดือน ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ได้ทุกคนต้องร่วมมือกัน ไปฉีดวัคซีนเข็ม 3 กันนะคะ ตอนนี้มีบริการฉีดหลายที่ และต้องปฏิบัติตนตามมาตรการของ ศบค.อย่างเคร่งครัดนะคะ อย่าทำทุกอย่างตามใจตัวเองอย่างคนเห็นแก่ตัวนะคะ ลด ละ เลิก เลื่อน คือสิ่งที่ต้องทำเวลานี้นะคะ บางอย่างต้องลด บางอย่างต้องไม่ทำ บางอย่างต้องเลิกทำสิ่งที่เคยทำ บางอย่างต้องเลื่อนไปก่อนนะคะ ต้องช่วยกันค่ะ ไม่ประมาท ไม่ทำผิดกฎหมาย มีสำนึกสาธารณะ Save ตัวเอง และ save คนอื่น เพื่อให้เราเอาชนะวิกฤตในครั้งนี้ให้ได้ เราต้องชนะไปด้วยกันนะคะ ขอให้เราผ่านพ้นระลอกที่ 5 นี้ไปให้ได้ในเวลาที่รวดเร็ว ตระหนักโดยไม่ตระหนกนะคะ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ลัคนาธนูกับเค้าโครงชีวิตปี 2568
ยังอยู่ในช่วงเจ็ดปีของการเปลี่ยนแปลงใหญ่สุขภาพอนามัย-หนี้สิน-ลูกน้องบริวาร และเกือบตลอดปีผู้หลักผู้ใหญ่อวยสถานะ-ยศ-เงินทองให้ แต่มีช่วงซ้อมรับทุกข์และการได้ความผิดที่ไม่ได้ก่อ
ดร.เสรี ลั่นรังเกียจ วาทกรรมแซะสถาบัน
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า เกิดวาทกรรมใหม่ "ใบอนุญาตที่ 2"
เด็กฝึกงาน...ไม่ผ่านโปร
ฉากทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทยหลังจากรู้ผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นภาพที่สร้างความกังวลให้กับคนไทยจำนวนมากที่ไม่ได้เลือกพรรคส้มหรือพรรคแดง
'ความเป็นไทย' กับกรณีน้ำท่วมภาคเหนือ-ภาคใต้
ถึงแม้จะก่อเกิด ถือกำเนิด ที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี...แต่ด้วยเหตุเพราะไปเติบโตที่ภาคใต้ ไม่ว่าเริ่มตั้งแต่อำเภอทุ่งสง จังหวัดหน่ะคอนซี้ทำหมะร่าด ไปจนอำเภอกันตัง
ได้ฤกษ์ 'นายพล' ล็อต 2
ผ่านเดดไลน์ตามคำสั่ง ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ทุกหน่วยส่งบัญชีข้อมูลผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น
'ดร.เสรี' กรีดเหวอะ! ใครมีลูกสาวเก่งพอที่จะเป็นนายกฯ ต้องบอกลูกให้มีผัว 9 คนอยู่ใน 9 ภาค
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า ใครมีลูกสาวที่เก่งพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ต้องบอกลูกนะคะ