‘วิมานหนาม’ก้าวข้าม‘น้ำเน่า’?

คุณจักรภพ เพ็ญแข..

ตั้งแต่กลับเข้ามาใช้ชีวิตบนแผ่นดินเกิด ผมก็ได้ตามดู-ตามข่าวอยู่บ้างประปราย ซึ่งก็ได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอยู่ไม่มากก็น้อย

ส่วนจะในทางบวกหรือทางลบนั้น ก็ขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละคน อย่างผมให้รู้สึกถูกจริตกับความคิดอ่านของคุณจักรภพในหลายๆ ประเด็น ทั้งด้านการเมือง สังคม ไลฟ์สไตล์!

ล่าสุด..วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2567 ก็ให้ถูกจริตเป็นพิเศษเมื่อคุณจักรภพได้โพสต์ข้อความ.. “วิมานหนาม” ก้าวข้าม “น้ำเน่า”?

วันนี้มีงานที่ยกเลิกกะทันหัน ป๊อบกับผมก็เลยชวนกันดูหนังโรง ซึ่งเป็นความรักความชอบของเราที่เคยทำกันอยู่เป็นประจำแต่เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีเวลาดูอีกแล้ว

หนังเรื่องนี้ต้องถือว่าคุ้มค่าคุ้มเวลา เพราะดูแล้วก็ให้เกิดท้องไส้ปั่นป่วน พะอืดพะอม อารมณ์ดีดขึ้นดีดลง และลืมโลกภายนอกไปเลยตลอดทั้งเรื่อง

ผมกำลังพูดถึงหนังไทยที่กำลังเทรนดี้อย่างแรงในขณะนี้คือ “วิมานหนาม” ซึ่งเล่าถึงความรัก ความคั่งแค้น ความริษยา ความโลภ สัญชาตญาณสัตว์ในตัวมนุษย์

ที่ล้วนนำไปสู่ความรุนแรงของจิตใจและร่างกาย อันเกิดขึ้นและแตกดับครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ภายในสวนทุเรียนอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง

คงจะไม่เล่าพล็อตของหนังให้เป็น spoilers เพราะใจจริงอยากให้ทุกท่านได้ดูเอง อยากบอกแต่เพียงว่า ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้เหนือชั้นมาก

มีความสันทัดชัดเจนในการสร้างอารมณ์ บิดอารมณ์ พัฒนาอารมณ์ และดึงอารมณ์ของคนดูให้ขึ้นลงและจดจ่ออยู่กับทุกบททุกตอนของการเล่าเรื่องอย่างชนิดป้องกันตัวไม่ได้เลย

ประเด็น LGBTQ+ ที่ผมนึกว่าจะเป็นประเด็นหลักของเรื่อง ความจริงเป็นเพียงเครื่องมือช่วยเล่าเรื่องว่า “ความรัก” นำมาสู่ความสมหวังและผิดหวัง

หรือความรักอันมีผลประโยชน์และเจตนาแฝงเร้นเจือปนอยู่ด้วยนั้น นำไปสู่ความคั่งแค้นและความรุนแรงได้อย่างไร

ไม่ว่าความรักนั้นจะเกิดกับเพศเดียวกันหรือต่างเพศก็ไม่สำคัญ ความเป็น LGBTQ+ จึงกลายเป็นเพียงประเด็นเสริมของภาพยนตร์เรื่องนี้

หนังเรื่องนี้ขุดเอาหัวใจของ “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน” (สำนวนของคุณวินทร์ เลียววาริณ) ออกมาเล่าว่า ในยามที่เกิดความเห็นแก่ตัวอย่างสุดๆ มนุษย์สามารถจะใช้เล่ห์เหลี่ยม ชั้นเชิง

ความมืดดำในหัวใจของตนเพื่อเอาชนะคะคานกันอย่างไรบ้าง สุดท้ายก็ถึงกับลืมไปว่า สิ่งที่ตนต้องการแต่แรกคืออะไร

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจึงเกือบจะนำไปสู่ความว่างเปล่าของจิตวิญญาณและต้องจากโลกนี้ไปอย่างไร้ความหมาย ในแง่นี้ คนรวย คนจน คนเมือง คนบ้านนอก ไม่มีความแตกต่างกันเลย

แนวความคิดน้ำเน่าของเมืองไทยที่ว่า คนเมืองมีแต่เล่ห์เหลี่ยมและความไม่จริงใจ และคนต่างจังหวัดมีแต่ความบริสุทธิ์ใจไร้เดียงสา ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ

ด้วยความจริงทางสังคมที่ปรากฏชัดในหนังเรื่องนี้ คนอาจเลวได้เหมือนหมดหากสถานการณ์เอื้ออำนวยให้หรือเมื่อสันดานดิบถูกขุดคุ้ย

การแสดงและการกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้มีความแยบยล แนบเนียน และสมจริง ผมรู้สึกชื่นชมต่อตัวผู้กำกับ คุณบอส-นฤเบศ กูโน โดยที่ไม่เคยมีโอกาสได้ชมงานอื่นๆ ของเขามาก่อนเลย

การเล่าเรื่องมีจังหวะจะโคนที่ดีโดยตลอด ไม่รู้สึกสะดุด อาจมีเพียงฉากเกือบสุดท้ายคือโศกนาฏกรรมในสวนทุเรียนที่ออกจะมีลักษณะเร่งเวลาและยัดเยียดอยู่บ้าง..

ผมคิดว่าการหาบทสรุปจบเพื่อทำให้ภาพยนตร์ไม่ยาวจนเกินไป คือความท้าทายอย่างใหม่ในศิลปะภาพยนตร์ในยุคปัจจุบัน...

ถ้าหนังเรื่องนี้จะสอนอะไรบ้าง ผมคิดว่าบทเรียนใหญ่ที่สุดคือ มนุษย์ไม่มีความแตกต่างกันเลย ไม่ว่าจะในทางเชื้อชาติ ศาสนา ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือรูปลักษณ์ทางร่างกาย

ลึกลงไปแล้ว คนก็คือคนที่ยังถูกกระตุ้นด้วยกลไกของ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ตลอด

ความเสมอภาคที่เรียกร้องกันมากในปัจจุบันก็คือความเสมอภาคใน รัก โลภ โกรธ หลง ด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่ระวังให้ดี

“วิมานหนาม”เล่าถึงความแหลมคมที่สามารถสร้างความเจ็บปวดทรมานได้ลึกซึ้งและกว้างไกลในชีวิตมนุษย์เหนือขอบเขตของสวนทุเรียนมากนัก

ครับ..ต้องขอขอบคุณคุณจักรภพ ที่ช่วยกระตุ้นต่อมอยาก..

ให้ผมต้องไปดูสวนทุเรียน เอ๊ย..วิมานหนาม!.

 

สันต์ สะตอแมน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เวลาอำนาจ“ทักษิณ”ใกล้จบ?

“สุริยะ” จัดชุดใหญ่ 14 โปรเจกต์คมนาคม พร้อมชง “ครม.แพทองธาร” มอเตอร์เวย์-รถไฟทางคู่-ไฮสปีด-ทางด่วนกว่า 7.98 แสนล.

ประจบจนเกินงาม?

ตามคาด.. เปล่า..ไม่ได้หมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ผสมพันธุ์กับเพื่อไทยจนทำให้แม่พระธรณีต้องช้ำอก-สะอื้นเสียใจนั่นหรอก!

กลับมาให้เห็นกันอีกครา!

ตามคาด.. เปล่า..ไม่ได้หมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ผสมพันธุ์กับเพื่อไทยจนทำให้แม่พระธรณีต้องช้ำอก-สะอื้นเสียใจนั่นหรอก!

งบประมาณ..เท่าไหร่อีกล่ะ?

“เราต้องกล้าหาญไม่ยกมือไหว้คนโกงชาติ ไม่ว่าจะเป็นใคร เป็นญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงสนิทกัน แต่ถ้าได้มาเพราะโกง ก็ไม่จำเป็นต้องยกมือไหว้

เชื่อ-วางใจอยู่อีกหรือ?

จอมยุทธ์กล่าว.. “แค้นสิบ (เจ็ด) ปียังไม่สาย”! และบัดนี้ นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ที่ประกาศก้อง ไม่ได้ “ครอบงำ” ผู้นำประเทศ แต่เป็น “ผู้ครอบครอง” นายกรัฐมนตรี-ลูกสาวคนสุดท้อง..