ปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่มี “สูตรสำเร็จ”

เห็นข่าวแวบๆ...เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง ว่าการกู้หนี้ยืมสินของโลกทั้งโลกระหว่างนี้ หรือภายในสิ้นปีนี้ มันน่าจะใหญ่โตมโหฬาร กองพะเนินเทินทึก ยิ่งไปกว่าผลผลิตมวลรวมของโลกประมาณ 3 เท่า หรือปาเข้าไประดับ 260 เปอร์เซ็นต์ของ GDP โลก เอาเลยถึงขั้นนั้น นี่ถ้าว่ากันตามตัวเลข สถิติ ที่องค์กรอย่าง IIF (Institute of International Finance) เขาว่าไว้...

คือไม่ว่าโลกจะผลิตโน่น ผลิตนี่ ได้มากมายมหาศาลถึงเพียงไหน แต่มันยังไม่น่าจะพอ หรือไม่น่าจะเหลือเอาไว้ใช้ หนี้ ที่กำลังไปไกล ไปโลด หรืออาจไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี กุศลาธัมมา อกุศลาธัมมา เอาเลยก็ไม่แน่!!! แต่ทำไงได้ล่ะท่านเอ๋ยย์ย์ย์ ในเมื่อต้องเจอกับการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อเนื่องกันมาเป็นปีๆ ต้องล็อกดาวน์ ต้องเว้นระยะห่าง กันไปโดยตลอด ไม่เพียงแต่ต้องหาทางเยียวยา ปลอบประโลม 

บรรดาผู้ที่ได้รับผลกระทบในระดับทั่วทั้งโลก ยังต้องพยายามอัดๆ ฉีดๆ เพื่อหาทางฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ให้กลับมาเติบโตได้ดังเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เลยต้องเป็นไปตาม สูตร นั่นก็คือหนีไม่พ้นต้องกู้...กับ...กู้ ต้องเป็นหนี้ เป็นสิน มากกว่าผลผลิต หรือกำลังการผลิตของตัวเองไปถึง 3 เท่า หรือกี่เท่าก็แล้วแต่ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...

แต่ก็นั่นแหละ...แม้จะกู้...กับ...กู้ พร้อมที่จะเป็นหนี้ เป็นสิน เพียงใดก็ตาม โอกาสที่จะฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจให้หวนกลับมาดังเดิม ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อยู่แล้วแน่ๆ แม้ว่าการไล่ฉีด ไล่จิ้ม ไล่ทิ่มวัคซีนของแต่ละประเทศในช่วงนี้ จะเดินหน้าไปได้พอสมควรแก่อัตภาพ เหลือแต่ประเทศจนๆ ทั้งหลาย ที่ยังคงต้องถูกทิ้งห่าง ตาม ช่องว่าง ระหว่าง โลกรวย-โลกจน หรือ โลกเหนือ-โลกใต้ อันเป็นสิ่งที่มีมานานจนอาจกลายเป็นเรื่อง ปกติ-ธรรมดา ไปแล้วก็ว่าได้ ดังนั้น...โอกาสที่เศรษฐกิจแต่ละประเทศ จะเด้งดึ๋งกลับมาเป็นรูปตัว V มันจึงหายาก หาเย็น ยิ่งกว่าหาหนวดเต่า-เขากระต่าย ส่วนใหญ่แล้ว...น่าจะหนักไปในรูปตัว L นั่นแหละมากกว่า แม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาก็เถอะ เห็นว่า...อย่างน้อยอาจต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี ถึงอาจกลับมาสู่สังคม 4.0 โดยที่การเมืองยังคง O.4 หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ ได้อย่างเป็นเรื่อง เป็นราว หรือเป็นจริง-เป็นจัง...

เพราะนอกจากเรื่องการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัส-19 ที่ยังคงหัวไม่ตก ไม่เหี่ยวปลาย จนตราบเท่าทุกวันนี้ อันทำให้การกู้หนี้ ยืมสิน มันเลยพรวดๆ พราดๆ จนแทบนึกไม่ออกว่าจะหาทางชดใช้กันแบบไหน อย่างไร แต่เห็นว่าระหว่างนี้...มันยังมีเรื่องการขาดแคลนพลังงาน แนวโน้มภาวะเงินเฟ้อ ไปจนถึงเรื่องความไม่สมประกอบของบรรดาบริษัทผลิตชิ้นส่วน หรือบรรดา ธุรกิจห่วงโซ่อุปทาน ฯลฯ ทยอยเข้ามาสร้างปัญหา จนทำให้แต่ละประเทศแทบหาทางออก ทางไป กันไม่เจอ หรือไม่อาจเปล่งพลังขับเคลื่อนภาวะเศรษฐกิจให้กลับมาเหมือนเดิม ได้อย่างเต็มเม็ด เต็มหน่วย แม้แต่ประเทศที่กำลังได้ชื่อว่าถือเป็น เบอร์ 1 ของโลก ในทางเศรษฐกิจ อย่างประเทศคุณพี่จีนก็เถอะ!!! เจอกับภาวะ ไฟฟ้าดับ ไปเป็นมณฑลๆ ต้องจุดเทียน จุดตะเกียง ผลิตชิ้นส่วนต่างๆ กันแทนที่ ก่อให้เกิด ผลกระทบ ลุกลามไปยังโลกทั้งโลก อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...

ภาวะสินค้าราคาแพง อาหารแพง น้ำมันแพง แก๊สแพง ฯลฯ มันเลยเริ่มเห็นๆ กันมั่งแล้ว และแม้ว่าผู้อำนวยการบริหารของสถาบันระดับโลก อย่าง S&P Global Ratings นาง Vera Chaplin ท่านจะเชื่อๆ ของท่านว่า การหาทาง ลดอัตราดอกเบี้ย ระหว่างธนาคารให้ต่ำๆ เข้าไว้ น่าจะช่วยประคับประคองสถานการณ์ให้ผ่านไปได้ แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหากต้องเจอกับ ปัญหาแทรกซ้อน อย่างปัญหาพลังงาน ภาวะเงินเฟ้อ และความไม่สมประกอบของธุรกิจห่วงโซ่อุปทาน ฯลฯ ตามมาอย่างเป็นระลอก โอกาสที่รัฐบาลแต่ละประเทศจะ เอาอยู่ มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรือน่าจะยากเย็น แสนเข็ญ พอๆ กับ เข็นภูเขาขึ้นครก อะไรประมาณนั้น...

คือพูดง่ายๆ ว่า...ปัญหาเศรษฐกิจ ภายในแต่ละประเทศ หรือในระดับโลกทั้งโลกช่วงนี้ มันคงไม่อาจอาศัย สูตรสำเร็จ ใดๆ เข้าไปแก้ไข เยียวยา และฟื้นฟูได้แบบสบายๆ เผลอๆ...อาจหนักไปทาง สูตรเตี๋ยว ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งพวง อย่างการแก้ปัญหาระหว่าง การป่วยตาย กับ การอดตาย อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิดนั่นแหละ โอกาสที่จะหา จุดสมดุล หรือ จุดลงตัว ชนิดไม่ถึงกับต้อง เสียวตูด แทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย มีแต่ต้องหาทางปรับเนื้อ ปรับตัว ไปจนอาจต้อง ปรับโครงสร้าง กันใหม่หมดนั่นแหละ หรือต้องแหวกกรอบ แหวกสูตร กันเอาเอง ถึงอาจพออยู่ๆ กันไปได้...

แม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาก็เช่นกัน...ถึงจำเป็นต้องเดินตาม สูตรสำเร็จ ด้วยการกู้หนี้ ยืมสิน มาใช้ในการเยียวยา ฟื้นฟู อะไรต่อมิอะไรต่างๆ อย่างมิอาจปฏิเสธ แต่ถ้าหาก ความสูญเสีย อันเนื่องมาจากรายจ่ายเหล่านี้ เป็นไปโดยละเอียด รอบคอบ พิถีพิถัน ไม่ใช่แบบหยาบๆ-ง่ายๆ ไม่ใช่แจกแหลก ใช้แหลก โดยไม่คิดตั้ง เป้าหมาย ใดๆ เอาไว้เลย แต่เป็นไปในแบบที่ ล้นเกล้าฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านเคยทรงมีพระราชดำรัสเอาไว้ประมาณว่า Our Loss is Our Gain อะไรประมาณนั้น โอกาสที่จะ บรรลุเป้าหมาย ด้วย สูตรใหม่ๆ หรือโอกาสนำพาประเทศไปสู่ สังคมพอเพียง หรือ เศรษฐกิจพอเพียง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Children’s Moral lessons (อีกครั้ง)...“Look backward, how much has been won, Look round, how much is yet to win, The watches of the night are done, The watches of the day begin.- จงเหลียวหลังดูว่าเราได้อะไรมาบ้างแล้ว-จงเหลียวมองรอบๆ ว่ามีอะไรที่เราจะได้มาอีก-การเฝ้ามองกลางคืนว่าจะสิ้นสุดลงไปเมื่อใด-การเฝ้ามองการมาถึงของกลางวันก็จะเริ่มต้นเมื่อนั้น...”

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ว่ากันไปเรื่อยๆ!!!

เห็นว่า...ตั้งแต่สัปดาห์หน้า วันที่ 1 มิ.ย. บรรดา ขาเฮ และ ขาหื่น ทั้งหลาย

ว่าด้วย...อนาคตของ “บิ๊กตู่”

หมู่นี้รู้สึกว่า...เสียงด่า เสียงทอ ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮา น่าจะซาๆ ไปพอสมควร จะด้วยเหตุเพราะใครต่อใครหันไปสนใจเรื่องอื่น