๒ เก้าอี้แลกสูญพันธุ์

เรียบร้อยโรงเรียนแม้วไปแล้วครับ

การตั้งรัฐบาลครั้งนี้ หลายซับหลายซ้อนจริงๆ

ชิงไหวชิงพริบ ชนิดกะพริบตาครั้งเดียวอาจต่อไม่ติด

เอาที่ชัดเจนก่อน

ประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลระบอบทักษิณแล้วล้านเปอร์เซ็นต์

ฝั่งเพื่อไทยมีหนังสือเทียบเชิญ หยดย้อย หยาดเยิ้ม ให้ไปร่วมกันสร้างความสุขแก่ประชาชน

"...ตามที่ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีได้เชิญพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยได้แถลงผ่านสื่อมวลชนเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ว นั้น

พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มีบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีอุดมการณ์ที่จะทำงานร่วมกันได้ จึงขอเรียนเชิญพรรคประชาธิปัตย์ได้เข้าร่วมรัฐบาลเพื่อร่วมกันบริหารราชการแผ่นดินให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนต่อไป

ทั้งนี้ ขอให้ท่านดำเนินการตามขั้นตอนภายในของพรรคและโปรดส่งรายชื่อบุคคลที่ท่านเห็นว่าเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ มีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีส่งมายังพรรคเพื่อไทย ผ่านทางเลขาธิการพรรคโดยด่วนต่อไป..."

อ่านหนังสือเทียบเชิญ แล้วกลับไปอ่าน การให้เหตุผลในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของนักการเมืองทั้ง ๒ ขั้วดูครับ

ไม่ว่าช่วงที่ประชาธิปัตย์ ไม่ไว้วางใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์

หรือช่วงเพื่อไทยอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลลุงตู่ ที่ "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" ในฐานะ รมว.พาณิชย์ โดนด้วยภายใต้ชื่อ "ยุทธการเด็ดหัว สอยนั่งร้าน"

แล้วกลับมาอ่านหนังสือเทียบเชิญอีกรอบ

ครื้นเครง!

มาบัดนี้...เขาไว้วางใจกันหมดแล้ว

ประชาชนได้แค่มองตาปริบๆ

เรื่องความรู้ ความสามารถ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

แต่ที่ระบุว่า มีอุดมการณ์ที่จะทำงานร่วมกันได้นั้น อุดมการณ์ที่ว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร

มีการเฉลยไปแล้วครับโดย นายหัวชวน หลีกภัย

"...ความดีของพรรคยังมีอยู่ ผลงานก็มี แต่คนไม่ค่อยพูดถึง แต่คนที่รู้ เขาจะยังระลึกถึง คงต้องใช้เวลาในการพัฒนาพรรคให้กลับมาน่าเชื่อถือเหมือนเดิม เพราะในสมัยก่อนไม่เคยคิดว่าจะต้องร่วมรัฐบาลทุกครั้ง ไม่จำเป็นต้องไปเหมา ไปซื้อพรรคเพื่อเป็นเสียงข้างมากเหมือนอย่างในสมัยของนายทักษิณทำ

เข้าใจว่านักการเมืองรุ่นหลังไม่คิดที่จะเติบโต คิดเพียงว่าจะเป็นรัฐมนตรีสัก ๒-๓ คน ก็พอแล้ว แต่พรรคประชาธิปัตย์ดั้งเดิมเขาไม่คิดอย่างนี้ คิดแต่จะสร้างพรรคให้ใหญ่ เพื่อแกนนำเป็นรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม พรรคประชาธิปัตย์เป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของบ้านเมือง ที่ควรจะทำบทบาทตัวเองให้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และมีประโยชน์ต่อบ้านเมือง การเป็นรัฐบาลก็ดีได้พัฒนาประเทศ แต่ถ้าถึงขนาดเสียศักดิ์ศรีไปเป็นรัฐบาล การเป็นฝ่ายค้านก็ไม่เสียหาย..."

ก็ไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม

ประชาธิปัตย์กำลังเดินไปสู่จุดต่ำสุด

๒ เก้าอี้รัฐมนตรี แลกกับการสูญพันธุ์

ภาคใต้เดิมส่งเสาไฟฟ้าลงก็ชนะ ครั้งหน้าตัวท็อปใช่ว่าจะรอด!

หากไม่เชื่อ "เดชอิศม์ ขาวทอง" ต้องลง สส.เขตสงขลา  อย่าหนีไปปาร์ตี้ลิสต์เด็ดขาด

ประชาธิปัตย์ว่าหนักแล้ว พลังประชารัฐไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

เลือกตั้งคราวหน้าจะยังมีชื่อ พรรคพลังประชารัฐอยู่หรือเปล่า

เดิมทีคิดว่าแผน "ลุง" เก๋าพอที่จะหยุด "แป้ง" ได้

แต่เปล่าเลยครับ นอกจากหยุดไม่ได้แล้ว "พวกลุง" ยังถูกถีบไปเป็นฝ่ายค้านซะอีก

มติกรรมการบริหารพรรคส่งชื่อผู้จะเป็นรัฐมนตรีมันสูญเปล่า เพราะเพื่อไทยไม่ได้รับเข้าร่วมรัฐบาลในนามพรรค แต่ดูดไปเฉพาะกลุ่ม

แถมชื่อรัฐมนตรีมาจากที่อื่น

ภาพที่ปรากฏมันก็ชัดเจนครับ               

ไทยรักไทยโมเดล              

กำเนิด พรรคไทยรักไทย คือการรวมเสือสิงห์กระทิงแรดทางการเมืองมาไว้ด้วยกัน

"ทักษิณ" สร้างตำนาน "ซื้อยกเข่ง เซ้งยกพรรค"

เปิดฉากดูด สส.พรรคอื่นเข้าพรรคไทยรักไทย ทันทีหลังชนะการเลือกตั้ง ๖ มกราคม ๒๕๔๔

เริ่มต้นที่ พรรคเสรีธรรม ๑๔ เสียง ของ "ประจวบ ไชยสาส์น" ขณะนั้นเป็นพรรคฝ่ายค้าน

ทำให้ สส.ไทยรักไทย เพิ่้มขึ้นเป็น ๒๖๒ เสียง กลายเป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทย พรรคเดียวมี สส.เกินครึ่งสภา

ต่อมาถึงคิวพรรคความหวังใหม่ของ "พ่อใหญ่จิ๋ว" ถูกดูดไป ๓๓ จาก ๓๖ คน

ตามด้วยชาติพัฒนา ๒๙ เสียง

จนมาถึงการเลือกตั้งปี ๒๕๔๘

พรรคไทยรักไทยที่้เกิดจากการควบรวม พรรคความหวังใหม่, พรรคชาติพัฒนา, พรรคกิจสังคม, พรรคเสรีธรรม  และพรรคเอกภาพ ชนะเลือกตั้งได้ สส. ๓๗๗ จาก ๕๐๐ ที่นั่ง

สมัยนั้นนักวิชาการต่างสรุปตรงกันว่า ปฏิบัติการดูด สส.ยกพรรคของ "ทักษิณ" เป็นไปเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในสภา

จงใจหลบเลี่ยงกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลของฝ่ายนิติบัญญัติ

รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ที่เชื่อกันว่ามีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด เป็นต้นเหตุทำให้ "ทักษิณ" ในเทอมสอง ไม่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเลย

เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้ใช้เสียง ๒ ใน ๕ ของสภา

หรือ ๒๐๐ เสียงขึ้นไป ถึงจะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

โชคดีครับรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ไม่ได้บัญญัติไว้แบบนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ปัจจุบันใช้เสียง สส.แค่ ๑ ใน ๕ หรือ ๑๐๐ คน ก็ซักฟอกรัฐบาลได้แล้ว แต่โจทย์ ณ วันนั้น กับวันนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

วันนี้ "ทักษิณ" ตั้งใจทำลายพลังประชารัฐ และประชาธิปัตย์ ก็เพื่อความมั่นคงของพรรคเพื่อไทย

ในอนาคต กลุ่มการเมืองของทั้ง ๒ พรรค น่าจะอพยพโยกย้ายเข้าไปสังกัดเพื่อไทย ด้วยเงื่อนไขที่ไม่อาจปฏิเสธได้

และจงใจทำลายศัตรูคู่แค้นให้จมหายไปจากวงการการเมือง

จะทำได้จริงหรือไม่

ห้ามกะพริบตา

มีข่าวแว่วมาว่า พลังประชารัฐมีหมัดเด็ดที่จะล้ม เพื่อไทย กับ "ทักษิณ" อยู่เหมือนกัน

"คนบ้านป่า" มีคลิปในบ้านจันทร์ส่องหล้า ที่ประชุมหัวหน้าพรรคต่างๆ ในช่วงหัวค่ำ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๗ มีทั้งภาพและเสียงชัดเจน "ทุกช็อต"

แบบนี้เขาเรียกว่าตายหมู่ ตายยกรัง!

รวมทั้งพลังประชารัฐด้วย

ถ้ามีทั้งภาพและเสียงชัดเจนจริง เกมพลิกเอาง่ายๆ

จากเดิมรับเฉพาะ "แก๊งแป้ง"

ถีบ "ก๊วนคนบ้านป่า" ไปเป็นฝ่ายค้าน

หากจู่ๆ มีนามสกุล "วงษ์สุวรรณ" โผล่มา ก็ให้รับรู้โดยทั่วกันว่า "แม้วไข่เขียว"

โดน "ลุง" ใช้ใจบันดาลแรงบีบเข้าให้

หากเป็นตามนี้ "ครม.อุ๊งอิ๊ง" ประชุมแต่ละครั้งต้องตรวจหาอาวุธให้ละเอียด

เพราะซ่อนมีดกันเต็มไปหมด

ระวังหลังให้ดี!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เท้ง' ผู้ไม่สร้างบุญคุณ

การเมืองช่วงนี้ไม่ใช่ฝุ่นตลบครับ แต่เฉอะแฉะ เหนอะหนะ เขยอะขยะ ดูแล้วหาความสุนทรีย์ไม่ได้เลย

เก้าอี้อยู่ไหน?

นับวันเวลาได้เลยครับ ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งชัดเจน "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนักโทษคดีคอร์รัปชันทั้ง ครอบงำ และ ครอบครอง รัฐบาลแพทองธาร

ประชาธิปัตย์อัสดง

เขาว่า... วันนี้ต้องรีเซตประเทศไทย "...วันนี้ต้องรีเซตประเทศไทย ไม่ใช่ว่ารุ่นปู่ของตนเองทะเลาะกับรุ่นปู่ของสื่อ แล้วมารุ่นตนเองต้องโกรธกันด้วย แบบนี้คิดว่าไม่ใช่

มิตรเทาศัตรูเทียม

ฝุ่นตลบ... ตั้งรัฐบาลเที่ยวนี้ บางพรรค บางคน ไม่ค่อยจะเห็นหัวประชาชนสักเท่าไหร่