รัฐตื่นสกัดสินค้าจีน

มีเสียงบ่นดังๆ มาจากผู้บริโภค ผู้ประกอบการไทย ที่พบว่าตอนนี้ทำการค้าขายได้ยากมากๆ เนื่องจากถูกสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดอย่างหนักหน่วง ซึ่งธุรกิจจีนที่เข้ามาก็มีทั้งแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ทั้งในรูปแบบเปิดร้านค้าขายในไทยอย่างชัดเจน และอีกส่วนก็เข้ามาค้าขายในแพลตฟอร์มออนไลน์

ด้วยจุดเด่นสินค้าที่มีราคาถูก จึงเข้ามากินส่วนแบ่งตลาดได้ค่อนข้างง่าย รวมถึงมีข้อได้เปรียบในเรื่องของภาษี ทำให้ผู้ประกอบการไทยเริ่มแข่งขันยากขึ้นทุกที

จึงไม่แปลกใจที่ตอนนี้ไทยขาดดุลการค้าจีนอย่างมหาศาล อย่างตัวเลขการค้าขายกับจีนช่วง 6 เดือนแรกของปี 67 มีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นถึง 7.12% คิดเป็นมูลค่ากว่า 37,569.89 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.33 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าจากจีน 19,967.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.66%

เมื่อมาวิเคราะห์ถึงไส้ในจะพบว่า แนวโน้มการขาดดุลการค้ากับจีนมีแนวโน้มสูงขึ้น สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างการส่งออกของไทยในภาพใหญ่ที่ไทยยังไม่มีอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเข้ามาทดแทน และเป็นตัวขับเคลื่อนการส่งออกในระยะข้างหน้า ซึ่งแตกต่างจากความได้เปรียบของ จีนซึ่งผลิตสินค้าอย่างเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า รวมถึงสินค้าประเภทรถยนต์ ทั้งหมดเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง และเป็นสินค้าที่ไทยขาดดุลสูง

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่น่าห่วงเท่ากับการทุ่มตลาดของสินค้าจีนในเวลานี้ ที่เข้ามาทุกช่องทาง รุนแรง และรวดเร็ว จนทำให้ผู้ประกอบการไทยถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว จนมีหลายฝ่ายเรียกร้องให้ทางรัฐบาลไทย ต้องเข้ามาเร่งจัดการควบคุมการทุ่มตลาดในครั้งนี้

ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ก็มีการนัดผู้ที่เกี่ยวข้อง 28 หน่วยงาน เพื่อวางแนวทางในการรับมือกับสินค้าจีน โดยผลในการหารือมีการกำหนดมาตรการ/แนวทางในการแก้ไขปัญหาและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิตและผู้ประกอบการในทุกมิติ แบ่งเป็น

1) ให้หน่วยงานบังคับใช้ระเบียบ/กฎหมายอย่างเข้มข้น โดยบูรณาการตรวจเข้มสินค้า ณ ด่านศุลกากร ทั้งในส่วนของการสำแดงพิกัดสินค้า การชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม การตรวจมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และการป้องปรามการกระทำอันมีลักษณะเป็นนอมินี โดยให้ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นคนไทยต้องส่งเอกสารที่ธนาคารออกให้เพื่อรับรองหรือแสดงฐานะการเงิน พร้อมกับการขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด

2) ปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้สอดคล้องกับการค้าอนาคต ซึ่งต้องทำประกาศฯ ให้ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มต่างประเทศที่มีคุณสมบัติตามกำหนด “ต้องจดทะเบียนนิติบุคคล โดยให้มีสำนักงานในไทย”

3) มาตรการภาษี โดยกรมสรรพากรอยู่ระหว่างปรับปรุงประมวลรัษฎากรสำหรับการกำหนดให้ผู้ขายสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศ และแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่จำหน่ายสินค้าในไทย ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร

4) มาตรการช่วยเหลือ SMEs ไทย และสุดท้าย 5) สร้าง/ต่อยอดความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าเพิ่มขึ้น เช่น ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เพื่อส่งเสริมการค้าผ่านช่องทางตลาด E-Commerce ให้เป็นอีกช่องทางในการผลักดันสินค้าไทยผ่าน E-Commerce ไปตลาดต่างประเทศ

ต้องดูว่า มาตรการที่มีอยู่จะช่วยสกัดกั้นสินค้าจีนได้มากน้อยแค่ไหน.

 

ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปากท้อง เรื่องแรก

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ความคาดหวังของประชาชนต่อ ครม.ชุดใหม่” ระหว่างวันที่ 21-23 สิงหาคม 2567 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,164 คน

อุตฯฮาลาลยังเดินต่อ!

ต้องยอมรับว่า หนึ่งในอุตสาหกรรมที่เริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับการพูดถึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา จากการผลักดันที่จริงจังของ “พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

เร่งเครื่องดึงนักท่องเที่ยว

จากสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยในปัจจุบัน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ให้ข้อมูลพบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมในช่วงเกือบ 7 เดือนเต็ม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-28 ก.ค.2567 ทั้งสิ้น 20,335,107 คน

ต้องเร่งแก้ปัญหาปากท้อง

หลังจากนายกรัฐมนตรีหญิง แพรทองธาร ชินวัตร รับตำแหน่งอย่างชัดเจน ทำให้ภาคเอกชนต่างก็ดีใจ เพราะไม่ทำให้ประเทศเป็นสุญญากาศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสิ่งแรกที่ภาคเอกชนอย่าง

แนะเจาะใจผู้บริโภคด้วย‘ความยั่งยืน’

คงต้องยอมรับว่าประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนได้รับความสนใจมากขึ้นทั้งจากผู้บริโภค ภาคเอกชน และภาครัฐ ส่งผลให้ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับตัว

รัฐบาลงัดทุกทางพยุงตลาดหุ้น

หลังจากปล่อยให้ตลาดหุ้นซึมมาอย่างช้านาน จนปัจจุบันอยู่ต่ำกว่า 1,300 จุด เรียกได้ว่าสำหรับนักลงทุนถือเป็นความเจ็บปวด เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ไปไหน