หลังจากรู้ผลการเลือกตั้งในคืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 บ้านเมืองไทยก็ดูพิกลพิการ อยู่ในสภาพที่ไม่อาจจะเดินหน้าเพื่อการพัฒนาที่จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เพราะเมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้ว พรรคการเมืองต่างๆ ก็มุ่งหน้าจะหาอำนาจด้วยการเป็นรัฐบาล สิ่งที่ทำให้คนจำนวนมากตกอกตกใจมากก็คือพรรคก้าวไกลที่มีการหาเสียงว่าจะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย ได้จำนวน สส.มากกว่าพรรคเพื่อไทยที่ครองอันดับหนึ่งมาหลายสมัย ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้น แม้ว่าจะเป็นที่ 2 ก็ได้จำนวน สส.มากกว่าพรรคที่เรียกขานกันว่าเป็นพรรคอนุรักษนิยมหลายพรรครวมกัน
เมื่อมีความพยายามที่จะรวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาล คนไทยจำนวนหนึ่งต้องใจหายอีกครั้ง เมื่อพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยจะรวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ และจะมีพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรี ที่คนไทยจำนวนมากใจหายก็เพราะว่าพรรคที่ได้ที่ 1 นั้น เป็นพรรคที่ต้องการแก้ไขมาตรา 112 ส่วนพรรคที่ 2 นั้นก็เป็นพรรคที่คดีโกงบ้านโกงเมืองที่ศาลตัดสินไปแล้วว่าผิดจริงอยู่หลายคดี เมื่อพรรคที่เป็นปรปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์มารวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคที่มีคดีฉ้อโกงที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายหลายแสนล้าน จะไม่ให้ประชาชนใจหายได้อย่างไร
การที่ประชาชนจำนวนหนึ่ง (และน่าจะเป็นจำนวนมาก) ไม่สบายใจที่จะให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนั้น ก็เพราะทัศนะทางการเมืองของพวกเขานั้นเป็นปฏิกษัตริย์นิยม หรือเป็นพวกที่มีความรู้สึกเป็นศัตรูกับการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งภายหลังต่อมาการหาเสียงของพวกเขาที่ต้องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 นั้น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำที่นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ชำรุดทรุดโทรม เดชะบุญที่ สส.ส่วนใหญ่และ สว.ไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคก้าวไกล ทำให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นายกรัฐมนตรี การรวมกันระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยก็มีอันต้องสิ้นสุดลง ก็ถึงเวลาที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
ก็มาถึงช่วงเวลาที่พรรคการเมืองต่างๆ ต้องกลืนเลือดตระบัดสัตย์กันทุกพรรค สำหรับพรรคเพื่อไทยที่เคยหาเสียงว่าจะไม่ร่วมกับพรรคของลุงป้อมและลุงตู่ ก็ต้องยอมที่จะต้องเอาพรรคของทั้ง 2 ลุงเข้าร่วมรัฐบาล ขณะเดียวกันกลุ่มพรรคอนุรักษนิยมที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ต้องยอมที่จะเข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ให้เหตุผลกับประชาชนว่าเพื่อจะได้ออกจากกับดักความขัดแย้ง เข้าสู่ภาวะของการปรองดอง ด้อมแดงแม้จะไม่พอใจลุง ก็จำใจต้องยอมรับ สลิ่มด้อมอนุรักษ์แม้จะไม่ไว้ใจพรรคเพื่อไทยก็จำใจต้องยอมรับ หวังว่าพรรคอนุรักษ์ได้เข้าร่วมรัฐบาลเพื่อสร้างผลงานให้ประเทศชาติได้พัฒนา เป็นประโยชน์กับประชาชน และให้เข้าไปทัดทานพรรคเพื่อไทย ในกรณีที่อาจจะมีการกระทำที่ไม่ชอบมาพากล
แต่แล้ว ประชาชนก็ต้องผิดหวัง เพราะพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ตำแหน่งรัฐมนตรีสำคัญไปตั้งมากมาย ผลสุดท้ายก็ไม่มีผลงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน แก้ปัญหาอะไรให้ประชาชนก็ไม่ได้ มิหนำซ้ำยังมีเรื่องที่กวนใจประชาชนอีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการแจกเงิน Digital Wallet ที่ผู้รู้จำนวนมากไม่เห็นด้วย เรื่องการตั้งบ่อนการพนันเสรีที่เรียกชื่อเพราะๆ ว่า Entertainment Complex การให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี ซื้อคอนโดฯ ได้ 75% ส่วนพรรคร่วมก็ไม่มีการทักท้วงเรื่องอะไรทั้งนั้น อ้างว่าเป็นการรักษามารยาทของการเป็นพรรคร่วม ทำให้เราเห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับการมีมารยาทมากกว่าปัญหาที่จะเกิดกับประเทศชาติ หรือเป็นการห่วงเก้าอี้ ห่วงตำแหน่ง กลัวว่าถ้าหากไปค้านเรื่องที่เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยจะถูกเขี่ยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพราะตอนนี้รัฐบาลมีเสียงมากกว่า 250 อยู่หลายเสียง
ที่เลือกพรรคก้าวไกล เพราะอยากเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลง โดยไม่สนใจรายละเอียดว่าพรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางใด เป็นการพัฒนาหรือเป็นความเสื่อม ที่สำคัญไม่สนใจว่าพรรคก้าวไกลมีจุดยืนทางการเมืองที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศ เป็นอันตรายต่อสถาบันหลักของชาติ และพฤติกรรมและการกระทำต่างๆ ของเขาก็ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพฤติกรรมของพวกเขานั้นเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ชำรุดทรุดโทรม และตัดสินให้ยุบพรรคก้าวไกล
ที่เลือกพรรคเพื่อไทยนั้น เพราะอยากได้เงิน Digital Wallet 10,000 บาท และผลประโยชน์จากโครงการประชานิยมที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอ ทั้งการลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าก๊าช เพิ่มรายได้ ครอบครัวใดรายได้ไม่ถึง 20,000 บาทรัฐบาลจะเติมให้ครบ 20,000 บาท ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ปริญญาตรีเงินเดือน 25,000 บาท และอื่นๆ อีกมากมาย โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่าพรรคนี้มีประวัติของการโกงประเทศชาติหลายคดี เสียหายหลายแสนล้าน คงคิดแต่ว่าตัวเองจะได้ผลประโยชน์อะไร ส่วนผู้ที่จะให้ผลประโยชน์จะมีคุณสมบัติอย่างไรไม่ได้สนใจเลย และเมื่อพรรคนี้ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็มีการนำเสนอผู้ซึ่งมีประวัติเคยติดคุกติดตะรางเป็นรัฐมนตรี จนทำให้นายกรัฐมนตรีต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง โดยวินิจฉัยว่าการเสนอชื่อคนต้องคดีเป็นรัฐมนตรีนั้น เป็นคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และทำผิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนไทยก็ต้องหลอนที่เราจะได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ที่เป็นบุคคลที่ประชาชนมีความเคลือบแคลงหลายเรื่อง ทั้งเรื่องความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ลักษณะนิสัย เรื่องการเรียนในอดีต ลีลาท่าทางในการหาเสียง ในการให้สัมภาษณ์ และที่สำคัญคือความไม่สบายใจว่าเธอจะทำงานอย่างมีอิสระหรืออยู่ภายใต้การชักนำของคนที่เคยต้องโทษติดคุกติดตะราง และมิได้มีสัญชาติไทย แต่ดูเหมือนเราคงหลีกหนีฉากทัศน์การเมืองนี้ไม่ได้เสียแล้ว ก็เลือกผู้แทนกันมาแบบนี้ ไม่รู้ว่าคราวหน้าจะได้บทเรียนกันบ้างไหม เห็นแก่ตัวให้น้อยลง เห็นแก่ประเทศชาติให้มากขึ้น ทำได้ไหมล่ะ หรือจะอยู่กันแบบนี้ไปจนประเทศล่มสลาย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มาเป็นชุด! 'ดร.เสรี' ฟาดคนโอหัง ความรู้ไม่มี ทักษะไม่มี ไร้ภาวะผู้นำ น่าสมเพชอย่างแท้จริง
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า เตือนก็แล้ว ตำหนิก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว เยาะเย้ยก็แล้ว ล้อเลียนก็แ
ข้าอยากได้อะไร...ข้าต้องได้
เราคนไทยมักจะอ้างว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐ มีการบริหารกิจการต่างๆ ภายในประเทศตามหลักการของนิติธรรม แต่สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเวลานี้ หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐจริงหรือ
เมื่อ 'ธรรมชาติ' กำลังแก้แค้น-เอาคืน!!!
เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาของบ้านเรา...ท่านเคยคาดๆ ไว้ว่า ฤดูหนาว ปีนี้น่าจะมาถึงประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม
จ่ายเงินซื้อเก้าอี้!
ไม่รู้ว่าหมายถึง "กรมปทุมวัน" ยุคใด สมัยใคร จ่ายเงินซื้อเก้าอี้ ซื้อตำแหน่ง ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ตามที่ "ทักษิณ ชินวัตร" สทร.แห่งพรรคเพื่อไทย ประกาศเสียงดังฟังชัดในระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครนายก
ช่วงเค้าลางคดีสำคัญของนายกรัฐมนตรีก่อตัวในดวงเมือง
ขอพักการทำนายเค้าโครงชีวิตคนปี 2568 ไว้ชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิวที่รออยู่คือท่านที่ลัคนาสถิตราศีตุล
ดร.เสรี ยกวาทะจัญไรแห่งปี 'เขาเว้นเกาะกูดให้เรา'
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า ประโยควาทะอัปรีย์จัญไรแห่งปี "เขาเว้นเกาะกูดให้เรา" แสดงว่าเขาเมตตาเราสินะ เราต้องขอบคุณเขา สำนึกบุญคุณเขาใช่ไหม