'สินบน' หายไปไหน

ช่างมันเถอะครับ!

ใครจะมาเป็นนายกฯ คงไม่ต่างไปจากที่้เป็นอยู่สักเท่าไหร่

ไอ้พวกที่แหกปาก อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน สุดท้ายลิงหลอกเจ้า

ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น

รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ แสดงอิทธิฤทธิ์ วางกลไกไม่ให้คนโกง คนไม่ซื่อสัตย์สุจริตเข้าไปใช้อำนาจ พรรคส้มเน่าชวนพรรคการเมืองอื่นล้มศาลรัฐธรรมนูญ เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ซะงั้น

ตราบใดที่นักการเมืองไม่หยุดโกง ประเทศมันเดินหน้าไปไม่ได้ครับ

ติดหล่มอยู่อย่างนี้            

ก็ไม่แปลกใจอะไรครับ ที่ผ่านมาพรรคส้มเน่ามักจะหลีกเลี่ยงพูดถึงการคอร์รัปชันของระบอบทักษิณ หนำซ้ำหาว่าทักษิณถูกรังแกเสียอีก

วันนี้รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงต้องอยู่อย่างหวาดผวา ไม่รู้ว่านักการเมืองที่อ้างว่ามาจากประชาชนจะฉีกทิ้งเมื่อไหร่ 

ขบวนการทำลายล้างรุกคืบจนน่ากลัวครับ

ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งจะวินิจฉัยถอดถอนนายกฯ เศรษฐาไปหยกๆ ก็ปล่อยข่าวกันออกมาแล้วทำนอง "พิชิต ชื่นบาน" ติดคุกฟรี

ราวกับว่านายกฯ เศรษฐา ก็เป็นเหยื่อ เพราะคดีถุงไม่มีจริง

อีกส่วนหนึ่งคือการแถลงข่าวของ สำนักงานอัยการสูงสุด จุดประสงค์เพื่อจะบอกว่า "ชัยเกษม นิติสิริ" ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งไม่ฟ้อง "พิชิต ชื่นบาน" คดีสินบนถุงขนม

เพราะ "ชัยเกษม" ราศีจับ จะได้นั่งเก้าอี้นายกฯ

แต่ก็ดีครับ วันนี้ประชาชนทั้งประเทศได้รับทราบแล้วว่า คำสั่งศาลฎีกาที่ให้ "พิชิต ชื่นบาน" ติดคุก ๖ เดือนนั้น ศาลได้บอกว่า

"...น่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๔ หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม เป็นการกระทำที่อุกอาจ ท้าทายและเกิดขึ้นที่ศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลยุติธรรมชั้นสูงสุดของประเทศ..."

แต่พอเรื่องกลับไปอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวนกับอัยการ

ไม่ได้กระทำผิด ตามข้อกล่าวหา

ขาดองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

ตามคำแถลงของ "ประยุทธ เพชรคุณ" โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ดังนี้... 

๑.สำนวนคดีดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ สำนักงานคดีอาญา โดยสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา ๗ ได้รับสำนวนพร้อมความเห็นเสนอสั่งไม่ฟ้อง จากพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม คดีกล่าวหานายพิชิต ชื่นบาน ที่ ๑ นางสาวศุภศรี ศรีสวัสดิ์ ที่ ๒ นายธนา ตันศิริ ที่ ๓ ข้อหาร่วมกันให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ โดยสำนวนดังกล่าว พนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทุกคน โดยเห็นว่าผู้ต้องหาทั้งสามไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา

๒.เมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนแล้ว นายสมเจตน์ ชัยเฉลิมปรีชา อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา ๗ ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจพิจารณาสำนวน ประกอบด้วย นายยงยุทธ ศรีสัตยาชน อัยการจังหวัดประจำกรม และนายสมบูรณ์ ศุภอักษร อัยการอาวุโส เป็นคณะทำงาน โดยมีนายสมเจตน์ ชัยเฉลิมปรีชา เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ซึ่งคณะทำงานได้ตรวจสำนวนโดยละเอียดแล้วเห็นพ้องกับความเห็นของคณะพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม

จากนั้นได้เสนอสำนวนพร้อมความเห็นต่อร้อยตำรวจโทธานี วุธยากร รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา เพื่อพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งร้อยตำรวจโทธานี วุธยากร รองอธิบดีอัยการฯ พิจารณาแล้วได้มีความเห็นและเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสามตามเสนอ

จากนั้นได้เสนอสำนวนให้นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา พิจารณา ซึ่งนายกายสิทธิ์ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งเมื่อวันที่ ๒๓ ธ.ค.๒๕๕๑ โดยมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสามตามความเห็นของพนักงานสอบสวน

๓.เมื่อนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา มีคำสั่งไม่ฟ้อง ได้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นทั้งหมดให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕ ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยพลตำรวจโทชาตรี สุนทรศร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งเมื่อวันที่ ๒ ก.ย.๒๕๕๒ ไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เมื่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้อง ถือว่าคำสั่งไม่ฟ้องเสร็จเด็ดขาดตามขั้นตอนของกฎหมาย ดังนั้นการที่มีการนำเสนอข่าวว่า นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด เป็นคนสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าว จึงไม่ถูกต้องและไม่เป็นความจริง

ตำรวจกับอัยการไปในทิศทางเดียวกัน

คดีสินบนถุงขนมจึงจบแค่นั้น ไม่ถูกส่งต่อไปชั้นศาล

ทีนี้ไปดูคำสั่งศาลคดี "พิชิต ชื่นบาน" กับพวก ละเมิดอำนาจศาลกันบ้าง

ราวกับหนังคนละม้วน!

"...ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ รู้อยู่แล้วว่าถุงกระดาษที่มอบให้แก่หม่อมหลวงฐิติพงศ์ ชมพูนุท เจ้าหน้าที่ประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา มีธนบัตรจำนวนประมาณ ๒ ล้านบาทบรรจุอยู่

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมรู้เห็นหรือให้ความร่วมมือในการกระทำความผิดของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ หรือไม่ ในปัญหานี้ได้ความจากหม่อมหลวงฐิติพงศ์ ว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ เป็นทนายความให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ตามลำดับ ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.๑/๒๕๕๐

โดยมีผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ เป็นเสมียนทนายและเป็นเลขานุการส่วนตัวของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ และที่ ๓ เป็นผู้ติดตามพันตำรวจโททักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามจะมาศาลกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ทุกครั้ง

ข้อเท็จจริงส่วนนี้ ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามก็นำสืบเจือสมกับพยานฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ เป็นผู้ประสานงานระหว่างพันตำรวจโททักษิณและคุณหญิงพจมาน กับฝ่ายทนายความซึ่งคือผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ และ ๒ กับเจ้าหน้าที่ศาล

ทั้งข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามก็ปรากฏว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามมีการพูดคุยและประสานงานกันตลอดเวลาขณะอยู่ที่ศาลฎีกา การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ เกี่ยวกับคดีจึงอยู่ในความรู้เห็นของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ และ ๒ ด้วย ถือได้ว่าเป็นคณะทำงานเดียวกัน

ดังจะเห็นได้จากผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ สั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ ไปตามหม่อมหลวงฐิติพงศ์ ไปพบที่ห้องพักทนายความ ทั้งๆ ที่ขณะนั้นผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ ห่างไปเพียง ๑ วา ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ และที่ ๒ ต่างก็เห็นหม่อมหลวงฐิติพงศ์เดินถือถุงกระดาษออกมาจากห้อง

วิสัยของคนที่ทำงานร่วมกันใกล้ชิดเช่นผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม ย่อมต้องถามไถ่หรือบอกกล่าวให้รู้กันว่า จะนำช็อกโกแลตมาให้เจ้าหน้าที่ศาลโดยไม่จำต้องปิดบัง ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ เป็นหัวหน้าคณะทนายความของพันตำรวจโททักษิณและคุณหญิงพจมาน

การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ ดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรง ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รูปคดีของพันตำรวจโททักษิณและคุณหญิงพจมานแล้ว ยังเป็นเรื่องกระทบกระเทือนต่อวิชาชีพของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ เองด้วย แทนที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ จะซักไซ้ไล่เลียงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน แล้วดำเนินการแก้ไขนำสิ่งของที่ถูกต้องมามอบให้ หรือนำถุงทั้งสองใบไปแสดงในทันที หรือตำหนิผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ก็หาได้กระทำไม่ ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ กลับโทรศัพท์ไปขอโทษและปรับความเข้าใจกับหม่อมหลวงฐิติพงศ์ ตามที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ ร้องขอ พร้อมทั้งสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑

ดังแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ ในลักษณะเป็นตัวการร่วมกัน ส่วนผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ แม้ขณะเกิดเหตุเป็นเพียงเสมียนทนาย แต่ก็เป็นทนายความในสำนักงานของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ มาก่อน

ทั้งยังเป็นผู้ประสานงานให้หม่อมหลวงฐิติพงศ์ ไปพบกับผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ และเมื่อผู้กล่าวหาสั่งให้คืนถุงบรรจุเงินให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ ก็ยังไปเรียกผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ มารับถุงคืน

นอกจากนี้ ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ ยังรออยู่ที่บริเวณเคาน์เตอร์แผนกรับฟ้องและห้องพักทนายความที่เกิดเหตุตลอดเวลา ลักษณะของการกระทำดังกล่าวถือได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ ๓ พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามดังกล่าว จึงเป็นการร่วมกันและแบ่งหน้าที่กันทำ ฟังได้ว่าเป็นตัวการร่วมกัน..."

เชื่อใครครับระหว่าง ตำรวจ อัยการ

กับศาล.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ ใหม่เป็นใคร

จบแล้วครับ! ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยคะแนน ๕ ต่อ ๔ เสียง ให้ "เศรษฐา ทวีสิน" พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นการเฉพาะตัว

ไพร่พลอนุรักษ์นิยม

เป็นเรื่องจริงที่ว่า... หากนักการเมืองถอดหัวโขนการเมือง แล้วมายืนดูการเมืองอยู่ข้างนอก ภาพที่มองจะคล้ายๆภาพที่ประชาชนทั่วๆไปมอง

ยังไม่ลดเพดาน

เชื่อมจิตกันไปเรียบร้อยครับ จากพรรคอนาคตใหม่ เป็นพรรคก้าวไกล วันนี้เป็น "พรรคประชาชน"